วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลักสูตรกรรมฐาน10วันโดย อ.โกเอ็นก้า

ประวัติท่านอาจารย์โกเอ็นก้า


           ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า เป็นชาวอินเดีย ถือกำเนิดในประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ.2467  ท่านได้ประกอบธุรกิจจนประสบความสำเร็จ  มีชื่อเสียงมากตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ทั้งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำชุมชนชาวอินเดียในประเทศพม่า  รวมทั้งเป็นประธานองค์กรต่างๆ อาทิ เช่น ประธานหอการค้ามาร์วารีแห่งพม่า และสมาคมพานิชย์และอุตสาหกรรมแห่งย่างกุ้ง  นอกจากนี้ยังเดินทางไปต่างประเทศกับคณะผู้แทนการค้าของสหภาพพม่าในฐานะที่ปรึกษาอยู่บ่อยๆ

            เมื่ออายุ 31 ปี ท่านได้ทดลองเข้าปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานหลักสูตร 10 วัน เป็นครั้งแรกกับท่านอาจารย์อูบาขิ่น (วิปัสนาจารย์ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่งผู้หนึ่ง)  หลังจบจากการปฏิบัติตามหลักสูตร 10 วันแล้ว  ท่านโกเอ็นก้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในเนื้อหาสาระของคำสอนและแนวทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง  จึงปวารณาตัวเข้าปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง  จนต่อมาท่านอาจารย์อูบาขิ่นได้แต่งตั้งให้ท่านทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอน


            ปี พ.ศ.2512 ท่านได้เดินทางกลับไปยังประเทศอินเดียเพื่อเยี่ยมมารดาที่ล้มป่วย ระหว่างที่อยู่ในอินเดีย ท่านได้จัดอบรม วิปัสนาให้แก่มารดาและญาติพี่น้อง  ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจเป็นอันมาก  นับจากนั้นขบวนการเอหิปัสสิโกก็ได้เริ่มต้นขึ้น จากปากต่อปากที่บอกต่อๆ กันไป ทำให้มีผู้มาขอเข้าปฏิบัติกันมากขึ้น

           ปี พ.ศ.2517 ท่านได้ก่อตั้งสถาบันวิปัสนานานาชาติ "ธรรมคีรี" ขึ้นที่เมืองอิกัตปุรี ใกล้ๆ กับเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดียนับจากนั้นมาก็ได้มีการจัดอบรมวิปัสนาหลักสูตร 10 วัน และหลักสูตรระยะยาวต่อเนื่องเรื่อยมา

           ปี พ.ศ.2522  ท่านเริ่มเดินทางไปเผยแผ่วิปัสสนาตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก  ทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกกว่า 400 หลักสูตร  หลักการสอนของท่านโกเอ็นก้าได้รับการยอมรับโดยทั่วไป ทั้งในอินเดีย  ประเทศที่ยังคงมีความแตกต่างทางด้านชนชั้นและศาสนาอย่างมาก และจากทั่วโลก  ทั้งนี้เพราะคำสอนที่มีลักษณะเป็นสากล  มิได้ขัดต่อหลักศาสนาใด  ท่านเน้นเสมอว่ามนุษย์ทุกคน  ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด  นับถือศาสนาใด และมีผิวสีอะไร ต่างก็มีความทุกข์ในรูปแบบเดียวกันทั้งสิ้น  ในเมื่อความทุกข์ของมนุษย์เป็นสากล วิธีการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์จึงต้องเป็นสากลเช่นกัน

        ต่อมาท่านได้เริ่มแต่งตั้งอาจารย์ผู้ช่วยให้ดำเนินการอบรมแทนท่าน โดยใช้เทปและวิดีโอของท่านเป็นแนวทางในการสอน  เพื่อรองรับความต้องการที่จะเข้าอบรมซึ่งเพิ่มสูงขึ้น  ทุกวันนี้มีอาจารย์ผู้ช่วยกว่า 700 ท่าน และอาสาสมัครช่วยงานต่างๆ อีกนับพันคน มีการอบรมวิปัสสนาในประเทศต่างๆ กว่า 90 ประเทศทั่วโลก ทั้งในอิหร่าน มัสกัต อาหรับอิมิเรสต์ อัฟริกาใต้  ซิมบับเว  จีน มองโกเลีย รัสเซีย เซอร์เบีย ไต้หวัน กัมพูชา เม็กซิโก และประเทศต่างๆ ในอเมริกาใต้  โดยมีการก่อสร้างศูนย์วิปัสสนาทั้งสิ้น 80 แห่งใน 21 ประเทศทั่วโลก ในแต่ละปีจะมีการจัดอบรมวิปัสสนาทั่วโลกกว่าหนึ่งพันหลักสูตร  โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าอบรม ค่าที่พัก หรือค่าอาหารใดๆ ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่จะบริจาค ทั้งตัวอาจารย์โกเอ็นก้าเองและอาจารย์ผู้ช่วยต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จากการอบรมดังกล่าวแม้แต่น้อย

Download mp3เสียงบรรยายหลักสูตรกรรมฐาน 10 วัน โดย อ.โกเอ็นก้า








.

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน mp3

  เสียงอ่าน "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" เป็นเสียงอ่านแบบ mp3 จากงานเขียนของคุณดังตฤน


   Download เสียงอ่าน เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน mp3


***หากท่าน download  ไฟล์แล้ว ไม่สามารถแตกไฟล์ได้ อาจเป็นเพราะโปรแกรม winzip, winrar, ในเครื่องของท่านเป็นเวอร์ชั้นเก่า ให้ท่านหาโหลดเวอร์ชั่นใหม่ของโปรแกรมเหล่านั้นมาติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน แล้วแตกไฟล์ใหม่





.

พระธรรมบท mp3


             คำว่า  "ธรรมบท" แปลว่า บทแห่งธรรม  คัมภีร์ธรรมบทจึงเป็นคัมภีร์รวบรวมบทธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธภาษิตแก่บุคคลต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างสถานที่ เป็นบทธรรมสั้นๆ ในรูปคาถา  ประพันธ์เป็นบทร้อยกรอง  ผู้อ่านสามารถจดจำได้ง่าย  และมีความไพเราะลึกซึ้งมาก ที่สำคัญคือ ธรรมบทแต่ละบทล้วนเป็นสัจจธรรม  และถือว่าเป็นอมตวาจาของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว นัยว่า บรรดาคัมภีร์ในพระไตรปิฎก คัมภีร์ธรรมบทเป็นคัมภีร์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุด ธรรมบทจึงเป็นเพชรน้ำเอกชั้นเยี่ยมที่ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

Download mp3 เสียงอ่าน พระธรรมบท ได้ที่นี่

***หากท่าน download  ไฟล์แล้ว ไม่สามารถแตกไฟล์ได้ อาจเป็นเพราะโปรแกรม winzip, winrar, ในเครื่องของท่านเป็นเวอร์ชั้นเก่า ให้ท่านหาโหลดเวอร์ชั่นใหม่ของโปรแกรมเหล่านั้นมาติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน แล้วแตกไฟล์ใหม่








วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พระกรรมฐาน ๔๐ กอง

       กรรมฐาน  ๔๐ กอง  แบ่งออกเป็น  ๗  หมวด ดังนี้

๑.กสิณกรรมฐาน   ๑๐  อย่าง

๒.อสุภกรรมฐาน   ๑๐  อย่าง
๓.อนุสสติกรรมฐาน  ๑๐  อย่าง
๔.พรหมวิหารกรรมฐาน   ๔  อย่าง
๕.อรูปกรรมฐาน  ๔  อย่าง
๖.อาหาเรปฏิกูลสัญญา  ๑  อย่าง
๗.จตุธาตุววัฏฐาน  ๑  อย่าง

      รวมทั้ง  ๗  หมวด เท่ากับ  ๔๐  อย่างพอดี

       การที่จะเรียนปฏิบัติกรรมฐาน  ๔๐  กอง (๔๐วิธี) ผู้ปฏิบัติหรืออาจารย์ผู้สอนศิษย์ควรจะรู้อารมณ์อุปนิสัยของตนเองหรือลูกศิษย์เสียก่อน  ถ้าไม่แน่ใจว่ามีจริตอะไรมากกว่าจริตอื่นๆ ใน ๖ จริต  ก็ให้เรียนพระกรรมฐานแบบกลางๆ เหมาะสมกับอุปนิสัยจริตทุกอย่าง  เรื่องกรรมฐานกับจริตมีความสำคัญมาก  ถ้าไปปฏิบัติไม่ถูกจริตจะไม่ก้าวหน้าทางธรรม  ทำให้ถึงจุดหมายปลายทางพระนิพพานช้ามาก  คือ ต้องเวียนวายตายเกิดต่อไป
          นักปฏิบัติเพื่อฌานโลกีย์  หรือเพื่อมรรคผลนิพพานก็ตาม  ควรรู้อาการ  หรืออารมณ์  หรือจริตอุปนิสัยของจิต  เพราะเป็นผลดีในการปฏิบัติเพื่อการละกิเลสตัณหาอุปาทานได้รวดเร็ว  สมาธิก็ตั้งมั่นวิปัสนาญาณจะแจ่มใส  มรรคผลนิพพานก็ปรากฏเร็วไว

๑.กสิณกรรมฐาน  ๑๐  อย่าง  แบ่งออกได้เป็น  ๒  จำพวก 

    พวกที่ ๑ คือ  กสิณกลาง มี  ๖  อย่าง  คนทุกจริตฝึกกสิณได้ทั้ง  ๖  อย่าง เพราะเหมาะกับทุกอารมณ์ ทุกอุปนิสัยของทุกคน ได้แก่
    ๑.๑ ปฐวีกสิณ  จิตเพ่งดิน  นึกถึงภาพดิน  ภาวนาว่า ปฐวี กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๒ เตโชกสิณ จิตเพ่งไฟ นึกถึงภาพไฟ  ภาวนาว่า เตโช กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๓ วาโยกสิณ  จิตเพ่งลม นึกถึงภาพลม  ภาวนาว่า  วาโย กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๔ อากาสกสิณ  จิตเพ่งอากาศ  นึกถึงอากาศ  ภาวนาว่า อากาส กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๕ อาโลกสิณ  จิตเพ่งอยู่กับแสงสว่าง  นึกถึงแสงสว่าง  ภาวนาว่า อาโลก กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๖ อาโปกสิณ  จิตเพ่งน้ำ  นึกถึงน้ำ  ภาวนาว่า อาโป กสิณัง ๆๆๆ
ให้เลือกภาวนากสิณใดกสิณหนึ่งให้ได้ถึงฌาณ ๔ หรือ ฌาณ ๕ กสิณอื่นๆ ก็ทำได้ง่ายหมด
    พวกที่ ๒ คือ  กสิณเฉพาะอุปนิสัยหรือเฉพาะจริต มี ๔ อย่าง  สำหรับคนโกรธง่าย คือพวกโทสะจริต
    ๑.๗ โลหิตกสิณ  จิตเพ่งสีแดง หรือเลือดแดง หรือดอกไม้แดง หรือผ้าแดง ก็ได้ทั้งนั้น ภาวนาว่า โลหิต กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๘ นีลกสิณ  จิตเพ่งสีเขียว หรือใบไม้สีเขียว จิตนึกถึงสีเขียว ภาวนาว่า นีล กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๙ ปีตกสิณ   จิตเพ่งสีเหลือง นึกถึงอะไรก็ได้ที่เป็นสีเหลือง ภาวนาว่า ปีต กสิณัง ๆๆๆ
    ๑.๑๐ โอทากสิณ  จิตเพ่งสีขาว นึกถึงอะไรก็ได้ที่เป็นสีขาว  โอทา กสิณัง ๆๆๆ
ท่านว่า เมื่อจิตเข้าถึงฌาณ ๔ พอถึงฌาณที่ ๕ ก็เป็นจิตเฉย มีอุเบกขาอยู่กับภาพกสิณต่าง ๆ ที่จิตจับไว้

๒.อสุภกรรมฐาน ๑๐  อย่าง

    อสุภกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้า ทรงแนะนำไว้สำหรับคนที่มีนิสัยรักสวยรักงาม หรือราคะจริต เพื่อจะได้ทำลายล้างกิเลสความหลงคิดว่ากายนี้เป็นของสวยงาม  ถ้าหากนักปฏิบัติพิจารณา  อสุภกรรมฐานได้จนจิตเป็นหนึ่ง เอกัคตารมณ์ หรืออารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จนถึงฌาณ ๔ เป็นปกติ ก็เป็นเหตุปัจจัยเข้าถึงพระอนาคามีได้โดยง่าย และอรหัตผลได้รวดเร็ว  อสุภกรรมฐาน คือ พิจารณากายคน สัตว์เป็นซากศพทั้งหมด ๑๐ ชนิด คือหลังตายแล้ว ๑๐ วันนั่นเอง คือ กรรมฐานที่ ๑๑ ถึงกรรมฐานที่ ๒๐
   ๒.๑ อุทธุมาตก  อสุภ หลังตายวันที่ ๑ ซากศพตัวแข็ง เย็น ซีด ขาดธาตุไฟ  ขาดธาตุลม
   ๒.๒ วินีลก อสุภ  หลังตายวันที่ ๒ ซากศพเริ่มบวมพอง  เป็นสีเขียว
   ๒.๓ วิปุพพก อสุภ หลังตายวันที่ ๓ ซากศพพองมากขึ้น  มีกลิ่นตุๆ เริ่มเน่า มีหนอง บวม
   ๒.๔ วิฉิททก อสุภ หลังตายวันที่ ๔ พิจารณาซากศพ เนื้อหนังปริ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือด น้ำหนองไหลออกทั่วตัว เพราะเนื้อหนังเริ่มแตกแยก
   ๒.๕ วิกขายิตก อสุภ หลังตายวันที่ ๕ ส่งกลิ่นเหม็น เพราะเนื้อหนังแตกแยกหมด
   ๒.๖ วิกขิตตก อสุภ หลังตายวันที่ ๖ ซากศพเรี่ยราด ไม่เป็นชิ้นเป็นท่อนเหม็นเนา
   ๒.๗ หตวิกขิตตก อสุภ หลังตายวันที่ ๗ ซากศพมีแมลงวัน มด หนอนชอนไชกินซากศพ
   ๒.๘ โลหิตตก อสุภ  หลังตายวันที่ ๘ ซากศพเหลือน้อย แต่กลิ่นเหม็นมาก มีเลือดน้ำหนอง เนื้อเน่าเละเทะ
   ๒.๙ ปุฬุวก อสุภ หลังตายวันที่ ๙ ซากศพกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่งกลิ่นเหม็นมากจนทนไม่ไหว
   ๒.๒๐ อัฏฐิก อสุภ หลังตายวันที่ ๑๐ เหลือแต่ฟันและกระดูก แขน ขา กะโหลกมีกลิ่นเหม็น ไม่มีหน้าตาเหลืออยู่  เพราะโดนหนอน แมลงกัดกินจนหมด เน่าคลุ้งกระจาย
      การเจริญอสุภกรรมฐาน ไม่ใช้ให้ภาวนา หรือไปนั่งจ้องยืนจ้องซากศพที่โรงพยาบาลหรือป่าช้า  แต่ท่านให้ใช้ความจำภาพซากศพี่เห็นแล้ว ใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์ดูว่าตัวเราที่ยังหายใจอยู่นี้ พูดได้อยู่นี้ มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับซากศพที่ตายแล้ว  เพราะร่างกายเราก็เหม็นเน่าทุกวัน ต้องอาบน้ำชำระล้างอยู่ทุกวัน ล้างหน้า  แปรงฟัน ล้างเอาความเน่าเหม็นออก  ต้องสระผมเกือบทุกวัน ถ้าไม่สระหัวก็เหม็น  ให้จิตใจรู้ตลอดเวลาว่าร่างกายเรา ร่างกายเขา  ไม่มีใครสะอาด เหม็นกันหมดทุกคนทั้งโลก  คนกับสัตว์ไม่แตกต่างกัน เหม็นเน่า เหม็นคาวเหมือนกัน เกิิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน คิดไว้อย่างนี้ตลอดเวลา ท่านเรียกว่า "จิตทรงฌาณในอสุภกรรมฐาน" ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลกันเป็นการระงับทุกขเวทนา  คิดไว้เสมอว่าเราเขาคือซากศพ  ต่างก็สกปรกเช่นกัน จะไปหลงรัก หลงผูกพันกันอะไรนักหนา จิตเลิกผูกพันตัวเราเขาจิตก็เบาสบาย  ความหนักใจก็ไม่มี  ใครจะตายก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะว่าทุกคนเป็นศพที่พูดได้ เดินได้ พอจิตออกจากร่างกายเราแล้ว เราเรียกว่า ศพที่ตายแล้ว

๓.อนุสสติกรรมฐาน  ๑๐ อย่าง

    อนุสสติ แปลว่า  จิตใตตามระลึกนึกถึงไว้อย่างเสมอ ๑ อย่าง  อนุสสติ ๑๐ อย่างนี้เป็นกรรมฐานเหมาะกับนิสัยอารมณ์ของนักปฏิบัติศรัทธาจริต มี
    ๑.พุทธานุสสติ
    ๒.ธรรมานุสสติ
    ๓.สังฆานุสสติ
    ๔.สีลานุสสติ
    ๕.จาคานุสสติ
    ๖.เทวตานุสสติ

     กรรมฐานสำหรับผู้มีนิสัยพุทธจริต  เชื่อยากต้องพิสูจน์ด้วยตนเองก่อนจึงเชื่อ คือ

    ๗.มรณานุสสติ กับนึกถึงความสุขใจในพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ๘.อุปสมานุสติกรรมฐาน  ผู้ที่มีนิสัยชอบคิดวิตกกังวลสารพัดอย่าง มีกรรมฐานเหมาะสำหรับนักคิดวิตกกังวลไปทั่ว
    ๙.อานาปานานุสสติ  คือจิตตามติดรู้กำหนดลมหายใจเข้าออก  แทนที่จะคิดฟุ้งซ่านกับปัญหาทั่วโลกก็มาติดตามดูลมหายใจเข้าออกของตนเอง จะเป็นบุญกุศุลจิตจะสุขสบายทั้งกายและใจ

    ผู้ที่ชอบรักของสวยงามนอกจากกสิณภาวนา ๑๐ อย่าง ของอสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐  ยังมีกายคตานุสสติกรรมฐาน คือ พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง  ว่ามีแต่สิ่งสกปรกเหม็นคาว  เหม็นเน่าจากตัวเองและผู้อื่นตลอดเวลา  ไม่มีใครสวยงามจริง สกปรกกันหมดทั้งโลก

    อนุสสติ ๑๐ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนไว้มี

    กรรมฐานที่ ๒๑ พุทธานุสสติกรรมฐาน

คือให้ระลึกนึกถึงพระคุณความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตากรุณาสอนคน เทวดา พรหม พ้นจากเวียนว่ายตายเกิด คือให้มุ่งพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของจิตใจเรา จะภาวนาว่า พุทโธ, อิติสุคโต, นะโมพุทธายะ, สัมมาอรหัง หรือ นะมะพะธะ  ดีถูกต้องเหมือนกันหมด ไม่ใช่ไปตั้งก๊กเหล่า แบ่งแยกสายพุทธโธ  สายสัมมาอรหัง  อย่างนี้ไม่ถูก  ทุกๆ สายเป็นศิษย์ขององค์พระตถาคต  เราปฏิบัติเพื่อลดละตัวตน และเป็นก๊กเป็นเหล่าเป็นสาย  ดังนั้นขอทุกท่านเจ้าสำนักได้โปรดให้ลูกศิษย์ของท่านเข้าใจ อย่าได้ยึดติดสายนั้นสายนี้ สำนักโน้น สำนักนี้  ไม่ใช่จุดประสงค์ขององค์พระจอมไตรโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ถ้ายังยึดติดกับสำนักครูบาอาจารย์  ยึดติดคำภาวนาท่านก็จะต้องเป็นทุกข์เวียนว่ายตายเกิดอีกนานกว่าจะได้เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  โดยที่เรานึกถึงพระปัญญาคุณ  พระบริสุทธิคุณ  พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านตลอดเวลาในไม่ช้าจิตใจเราก็ฉลาด สะอาด สุขสบาย กิเลสโลภโกรธหลงก็หายไปโดยอัตโนมัติ หรือจากการภาวนาพุทธานุสสติกรรมฐาน  แถมอีกนิด คือ นึกถึงภาพพระพุทธรูปด้วยดียิ่ง เป็นกสิณทำให้จิตใจเป็นฌานถึงฌาน ๔ ได้ด้วยการจับภาพพระพุทธเจ้าไว้ในจิตใจเรา  พอภาพพระพุทธเจ้าเป็นแก้วใสจิตใจท่านก็เข้าถึงฌาน ๔ มีสุขสดชื่น  มีปัญญาเฉียบแหลม  สามารถตัดกิเลสตัณหาอวิชชาได้อย่างรวดเร็ว เป็นอรหันได้ง่ายเร็วไว เป็นกรรมฐานที่ลัดตรง และง่ายที่สุด คือ พุทธานุสสติกรรมฐาน  จิตใจเรานึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา  จิตเรานั้นก็จะเป็นจิตพุทธะ คือ พระอรหันต์ดังที่องค์พระตถาคตทรงตรัสสอนไว้ดีเลิศประเสริฐ  เป็นจริงพิสูจน์ได้โดยปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ของการหลุดพ้นตามวิสุทธิมรรค มีถึง ๔๐ แบบ  แถมด้วยแบบมหาสติปัฏฐานสูตรอีก ๑ แบบ เป็น ๔๑ แนวทาง เข้าถึงอรหัตผลได้ทุกแบบมีทั้งศีล  สมาธิ  ปัญญา  รวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด ดีเหมือนกัน ดีเท่ากัน  แล้วแต่อุปนิสัยของนักปฏิบัติว่าชอบแนวไหน

    กรรมฐานที่ ๒๒ ธัมมานุสสติกรรมฐาน

คือ ตั้งสติระลึกนึกถึงคุณความดีของพระธรรม  คำสั่ง คือ ข้อห้ามไม่ให้ทำผิดศีล ๕ ข้อ  คำสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ทำบุญทำทาน ให้ภาวนาพิจารณาทุกอย่างในโลกเป็นของลำบากยากแค้นในการแสวงหาเงินทองมาซื้ออาหาร บ้าน รถ เสื้อผ้า เครื่องใช้ เป็นทุกข์เพราะตนทนเหนื่อยยาก ได้มาแล้วก็เก่าชำรุดทรุดโทรม  ทั้งร่างกายก็มีแต่โรคภัยรบกวนเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน  ในไม่ช้าก็ต้องตายกันหมด เกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมดเท่านั้น  ไม่อยู่ในอำนาจการควบคุมของใครเป็นกฎของธรรมชาติ  แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระวรกายท่านก็เป็นอนัตตา  คือ  แตกสลาย  นับประสาอะไรกับร่างกายของเราก็ตายอยู่ตลอดเวลา  ตายจากวัยเด็ก  เป็นวัยผู้ใหญ่ เข้าวัยชรา  ไม่มีอะไรดี  จิตเราจะขอติดตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปนิพพานในชาตินี้  คิดแบบนี้คือเคารพในพระธรรม  หรือท่านจะเลือกเอาพระธรรมแบบไหนก็ได้ทั้งกรรมฐาน ๔๐  แบบ  หรือ  แบบมหาสติปัฏฐานสูตร ดีเหมือนกันทุกแบบ  พระธรรมทั้งหมดที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้  ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่อลงมาเหลือ ๓ อย่าง คือ อธิศีล บริสุทธ์ ทำให้เป็นพระโสดาบัน อธิจิตมีสมาธิภาวนา ทำให้เป็นพระอนาคามี คือ มีฌาน ๔  อธิปัญญา จิตไม่หลงผูกพันติดในร่างกายตนเอง ทำให้เป็นพระอรหันต์  คุณธรรมทั้งหมดประเสริฐยอดเยี่ยมไม่มีความรู้ใดๆ ดีกว่า สูงกว่านี้ ความรู้ทางพระนิพพานที่องสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้  สามารถกำจัดความทุกข์ยากลำบากกายใจได้ทั้งที่มีชีวิต และเมื่อตายแล้วยิ่งเป็นสุขมากกว่าคนอื่นคือมีเทวดา พรหม พระนิพพานเป็นที่ไปตามบุญบารมีที่ตั้งใจปฏิบัติไว้ตอนเป็นคน สัตว์ ผู้ปฏิบัติธรรมจริงก็จะได้ผลความสุขกายจริง  ดังนั้นพระธรรมเป็นปัจจัตตัง  บอกกล่าวไปใครจะรู้ผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ย่อมรู้ดีกว่าใครๆ
     
    กรรมฐานที่ ๒๓  สังฆานุสสติกรรมฐาน
คือการระลึกนึกถึงความดีของพระอริยะสงฆ์สาวกขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าที่ปฏิบัติตรงปฎิบัติดี  ตามพระธรรมคำสั่งสอน  ตัดกิเลส โลภ โกรธ หลง  จิตแน่วแน่มุ่งตรงพระนิพพาน  และยังสืบทอดพระธรรมคำสอนถึงอนุชนคนรุ่นหลัง ให้เข้าใจพระธรรมวินัย คือ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัยสิกขาบทต่างๆของภิกษุ  ให้เข้าใจพระสุตตันตปิฎก  ว่าด้วยพระสูตรซึ่งเป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่บุคคลต่างๆให้เข้าใจพระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยพระอภิธรรมหรือปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นธรรมะชั้นสูง ให้เกิดปัญญา  ผลจากการเลื่อมใสศรัทธาในพระอริยสงฆ์ทำให้เรามีปัญญาเป็นบารมี  กำลังใจที่เรามีปิติอิ่มเอิบใจ  เชื่อมั่นในความดี และโมทนากับบุญบารมีของพระอริยสงฆ์ทุกๆ พระองค์  ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน  ทำให้จิตใจเราได้สำเร็จมรรคผลตามท่านได้ไม่มีอะไรหนักใจ  เรียกว่า ศรัทธาวิมุตติ  คือจิตหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาอุปาทาน ด้วยเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    กรรมฐานที่ ๒๔  สีลานุสสติกรรมฐาน
คือการตั้งใจระลึกนึกถึงคุณความดีของผู้มีศีล ๕ อยู่เป็นปกติสุข คุณของศีล ๕ ปิดกั้นประตูนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน  ผู้ไม่ทำชั่วใน ๕ ข้อนั้น ไม่มีฆ่าคน สัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงละเมิดทางประเวณีกับบุตร ธิดา สามี ภรรยาของผู้อื่น ไม่พูดปด ไม่เสพสิ่งของมึนเมา  ไม่เล่นการพนัน เป็นต้น ฆราวาสพึงระลึกนึกถึงศีล ๕ ข้อไว้มิได้ขาดตกบกพร่อง  แม้แต่จะคิดละเมิดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ควรคิด  ถ้าเผลอทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งเป็นอดีตล่วงมาแล้ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ตั้งใจทำความดีมีศิีล ๕ ครบ ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวันไม่นึกถึงความชั่วที่แล้วมา  เพียรภาวนาระลึกนึกถึงศีล ๕ ครบในปัจจุบัน  เพื่อเป็นพื้นฐานของจิตใจให้สะอาดสดใสมีพระนิพพานเป็นที่ไปของจุดหมายปลายทางชีวิต คิดถึงศีล ๕ ครบทุกวัน  จิตจะเป็นฌานมีปัญญาฉลาดอยู่เป็นสุข  ก่อนตายศีลจะเป็นสะพานใหญ่ให้อารมณ์สมาธิหลั่งไหลมาในจิต  เป็นพื้นฐานให้ได้วิปัสสนาญาณ คือการเห็นทุกข์ เห็นโทษของการมีขันธ์ ๕ ร่างกายสกปรก  มีจิตใจเลื่อมใสเข้าถึงพระนิพพานในที่สุด การระลึกนึกถึงศีลทำให้ท่านมีอารมณ์สมาธิถึงอัปปนาสมาธิ คือจิตทรงฌาน  คิดถึงศีลตามปกติของท่าน ถ้าชาวบ้านก็ศีล ๕ อยู่วัดก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ ศีลของพระภิกษุ ๒๒๗ ข้อ ศีลของภิกษุณี ๓๑๑ อานิสงส์ของศีล คือ มีชีวิตอยู่ไม่เดือดร้อน ไม่มีศัตรู มีคนรัก มีเกียรติคุณความดีฟุ้งไปทั่วทิศ เป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญ ใกล้ตายจิตจะผ่องใสเบิกบาน เพราะมีศีลครบ บาปกรรมไม่สามารถมาทำให้จิตเศร้าหมองได้ ตายแล้วไม่ไปทุกข์ในนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยได้ไปเกิดในสวรรค์ อย่างมากไปเสวยสุขเบื้องบนพระนิพพาน

     กรรมฐานที่ ๒๕ จาคานุสสติกรรมฐาน
พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนพวกเราให้บริจาคทาน บำรุงพระศาสนา สงเคราะห์คนยากจน เป็นการเสียสละ ละกิเลส ตัวโลภ ตระหนี่เหนียวออกไป  ให้ทานด้วยความเต็มใจ  ยินดีให้ทานด้วยความเคารพ มีอาการสุภาพในการให้ มีอาการปลื้มปิติดีใจที่ให้ไปแล้ว  จะเป็นใครก็ตามเราให้ไปแล้วเราก็พอใจอิ่มใจ  พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นความดี ผลการให้ทำให้เราเป็นสุข เพราะผู้รับทานมีโอกาสเปลื้องทุกข์ ผลการให้ทานเป็นการทำลายล้างความโลภ เป็นกิเลสถ่วงไม่ให้เราถึงพระนิพพาน  เราตัดรากเหง้ากิเลสใหญ่ความโลภได้ ๑ ตัว ความเบาใจจะเกิด เพราะเหลือกิเลสใหญ่ ๒ ตัว คือความโกรธ กับ ความหลง ซึ่งเราจะตัดความโกรธได้ด้วยความเมตตาให้อภัย ตัดความหลงได้ก็ให้ดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง จิตใจจะได้เลิกยึดติดเกาะเกี่ยว เพราะยึดติดสิ่งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์อันใดเลย ไม่ใช่ของดีจริง เป็นของปลอมชั่วครู่ชั่วคราว ถ้าจิตยึดติดก็เป็นทุกข์  ยึดติดในของสมมุติไม่จีรังยั่งยืน  ผู้ที่ยินดีในการให้ทาน  จิตจะเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ความโกรธ ความหลงไม่มารบกวน  ทำให้จิตมีสมาธิ อุปจารสมาธิ ต่อไปถ้าพิจารณาตามวิปัสสนาญาณ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมสลายไป จะทำให้เราบรรลุมรรคผลได้ง่ายอย่างคาดไม่ถึง

    กรรมฐานที่ ๒๖ เทวตานุสสติกรรมฐาน
เทวดา แปลว่า ผู้มีจิตใจดีงาม จิตใจประเสริฐ กรรมฐานนี้ท่านให้มีจิตใจระลึกนึกถึงความดีของเทวดา พรหมเทวดา ท่านมีความดีตอนเป็นมนุษย์ มีหิร ความละอายต่อบาป ไม่ผิดศีล ๕ ไม่ทำความชั่วทั้งกาย วาจา ใจ  โอตัปปะ มีความเกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล  ท่านมีจิตเมตตาปราณี ทำบุญให้ทาน ไหว้พระสวดมนต์  ทอดผ้าป่า กฐิน ให้บริจาคทานแก่ผู้ยากไร้ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเทพยดามากราบไหว้ ฟังเทศน์ ฟังธรรม  โปรยดอกไม้ทิพย์  อาหารทิพย์  ถวายเป็นพุทธบูชา  มากราบทูลถามปัญหาธรรมะจากพระพุทธเจ้า  พระองค์เองทรงปรารภแก่บรรดาพุทธสาวก เรื่อง เทวดาเสมอ  พระพุทธศาสนายอมรับนับถือความดีของเทพยดา พหรม ท่านเป็นพระอริยเจ้า  พระอรหันต์ มีมากมายกว่าคน  ท่านมีบุญบารมีมากกว่าคนหลายเท่า  ท่านไม่ต้องแบกขันธ์ ๕ เป็นทุกข์แบบคน  ไม่เจ็บป่วย  ไม่แก่เหมือนคน  เทวดา  พรหม ท่านมีความสุขดีกว่าคนมาก
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เทวดามี ๓ ประเภท  แบ่งตามบุญบารมีของเทวดา
ประเภทที่ ๑    ม  







ประเภท 1 เทวดาชั้นกามาวจร เริ่มตั้งแต่ ภูมิเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง รุกขเทวดา ท่านดูแลรักษาคนดี มีวิมานอยู่บนต้นไม้ที่มีแก่นไม้ 1 นิ้วขึ้นไป และอากาศเทวดาหรือเทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นที่ 6 คือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

ประเภทที่ 2 เทวดาชั้นพรหม รูปาวจรพรหม มี 16 ชั้น สำหรับท่านที่ได้ฌานตั้งแต่ฌาน 1 ถึง ฌาน 4 ก่อนท่านตายเข้าฌาน จิตได้ไปเกิดตามขั้นของฌานที่จิตเคลื่อนออกจากกาย รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น มีชื่อดังนี้

1. พรหมปริสัชชา 2. พรหมปาโรหิตา 3. มหาพรหมา 4. ปริตตาภา

5. อัปปมาณาภา 6. อาภัสสรา 7. ปริตตสุภา 8. อัปปมาณสุภา

9. สุภกิณหกา 10. เวหัปผลา 11.อสัญญีสัตว์ 12. อวิหา

13.อตัปปา 14. สุทัสสา 15.สุทัสสี 16. อกนิฏฐกา

อรูปพรหม 4 นี้เป็นพรหมไม่มีรูป มีแต่จิตเสวยสุขอย่างเดียว เพราะท่านปรารถนาไม่มีรูปทิพย์ คิดเข้าใจผิดว่า การมีรูปทำให้เป็นสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงดับสลาย ท่านจึงคิดเอาว่า มีจิตอย่างเดียว มีความหลงผิดเข้าใจผิดเรียกว่าอวิชชาคือเข้าใจเอาเองว่า อรูปพรหมทั้ง 4 นั้นมีความสุขสูงสุดแล้ว

อรูปพรหม 1 (พรหมชั้นที่ 17 จิตเป็นฌานเพ่งอยู่ในความว่างเปล่าของอากาศ เรียกว่าอากาสานัญจายตนะก่อนตายร่างกายตายจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่อรูปพรหมเพราะจิตเข้าใจผิดคิดว่าฌานนี้สูงสุดหมดกิเลสได้แล้ว

อรูปพรหม 2 (พรหมชั้นที่ 18) มีจิตเพ่งอยู่ในวิญญาณัญจายตนะ ก่อนตายจิตจึงเคลื่อนมาอยู่ในอรูปพรหมชั้นที่ 2

อรูปพรหม3(พรหมชั้นที่ 19) จิตเพ่งอยู่ในอากิญจัญญายตนะ เมื่อตายจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่ พรหมชั้นอากิญจัญญายตนะ คือ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างรูปนามไม่มีอะไรเหลือว่างเปล่าหมด

อรูปพรหม4(พรหมชั้นที่ 20) คือท่านที่มีจิตเพ่งอยู่ในฌานที่ 8 เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีความสุขคือไม่มีรูปกายนามกาย ไม่มีความจำ เพราะคิดว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์


ชั้นสุทธาวาสคือชั้นพระอริยเจ้าขึ้นไป ตั้งแต่ชั้น 12 – 16 ท่านไม่กลับมาเกิดเป็นคนอีก

ประเภทที่ 3 คือ พระวิสุทธิเทพ คือ เทพเทวดาที่ไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม จิตท่านเป็นจิตพระอรหันต์ ขีณาสพ มีมากหลายล้าน จิตของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า จิตของพระผู้มีพระภาคเจ้ามากมายหลายแสนพระองค์ เป็นจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ ที่เสวยสุขแดนทิพย์ วิเศษ นิพพาน

นิพพานมี 2 ประเภท คือ
1. สอุปาทิเสสนิพพาน จิตบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ แต่ยังมีร่างกายคน ร่างเทพ ร่างพรหมอยู่ ยังไม่ถึงเวลาเข้าแดนทิพย์นิพพานเรียกได้ง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้านว่า นิพพานดิบ คือ จิตเป็นนิพพาน

2. อนุปาทิเสสนิพพาน จิตของพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกายทิพย์นิพพานอยู่เป็นสุขสำราญในพระนิพพานตลอดกาล ท่านเสวยสุขแดนทิพย์นิพพานหลังตายเรียกง่ายๆ ว่า นิพพานสุก คือ นิพพานจริงไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกายเทพ กายพรหม

ต้นเหตุที่จิตจะต้องไปเสวยทุกข์ในแดนอบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มีดังนี้ ผิดศีล 5 ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ลักลอบขโมยคนรักผู้อื่น คือ บุตร ธิดา สามีผู้อื่น ทุบตีภรรยา สามี ทุบตีลูกหลาน พูดปด พูดหยาบคาย ฉ้อโกง พูดนินทาให้ร้ายให้เขาแตกแยกกัน ติดยาฝิ่น ยาบ้า ยาม้า สุรา พนัน



ต้นเหตุที่เกิดเป็นคน คือ มีศีล 5 ครบถ้วนไม่ละเมิดทำความชั่วในศีลทั้ง 5 ข้อนั้น
ต้นเหตุที่ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นคนไม่ทำความชั่ว 5 ประการ ศีล 5 บริสุทธิ์ มี จิตเมตตาปราณี ไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญด้วยความเต็มใจให้ทานแก่คน สัตว์ ละอายความชั่ว ไม่ทำบาปทั้งที่ลับ ที่แจ้ง เกรงกลัวผลของความชั่ว ตายจากคนไปเป็นเทพเทวดา นางฟ้า พระภูมิเจ้าที่

ถ้าไม่ฝึกหัดสมาธิภาวนา

ต้นเหตุไปเป็นรูปพรหม มีศีล 5 ครบ ทำบุญ ทำทาน ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนาจิตมีความชินกับบุญกุศลในทาน ศีล ภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งใน 40 กรรมฐาน
1. ทำสมาธิได้ฌานที่ 1 ก่อน ตายแล้ว ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 1 – 2 – 3

2. ทำสมาธิได้ฌานที่ 2 ก่อน ตายแล้ว ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 4 – 5 – 6

3. ทำสมาธิได้ฌานที่ 3 ก่อน ตายแล้ว ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 7 – 8 – 9

4. ทำสมาธิได้ฌานที่ 4 ก่อน ตายแล้ว ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ 10 – 11

5. พระอนาคามีเข้าฌานที่ 4 ก่อน ตายไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส ชั้นที่ 12 – 13 – 14 – 15 – 16
ต้นเหตุไปเป็นอรูปพรหม 4 ชั้น ท่านทั้ง 4 ชั้น ท่านได้เจริญกรรมฐานในกสิณแล้ว ภาวนาอรูปฌาน 4 คือ หลงผิดคิดว่าถ้าไม่มีรูปจะมีความสุข มีจิตไม่เข้าใจในพระนิพพาน จึงเป็นฌานโลกีย์

อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ

อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

ก่อนตายเข้าอรูปฌาน หลงคิดว่าการไม่มีรูปกายทิพย์คือความสุข ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นอรูปพรหม

บุญบารมี รูปพรหมพระอนาคามี มีที่อยู่ 5 ชั้นในรูปพรหม คือ พรหมชั้นที่ 12 – 13 – 14 – 15 – 16 ท่านได้บรรลุมรรคผลเป็นพรหมอนาคามีได้ฌาน 4 มาก่อน สมัยเป็นคน เป็นเทพ เทวดาพรหม ท่านเรียกพรหมชั้นอนาคามีว่า ชั้นสุทธาวาส ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดาอีก ท่านรอเข้าพระนิพพาน เมื่อท่านสำเร็จเป็รพระอรหัตตผล

เทวตานุสสติกรรมฐานนี้ ถ้าท่านฝึกระลึกนึกถึงพระคุณของเทพเทวดาจนมีอุปาจารสมาธิ คือ สมาธิประเดี๋ยวประด๋าว แล้วท่านเจริญวิปัสสนาญาณเห็นโลกร่างกายเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นของสมมุติสูญสลายกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว จิตจะเข้าถึงมรรคผลได้รวดเร็ว ง่ายดาย เพราะเป็นภูมิธรรมละเอียด มีแนวโน้มเข้าไปใกล้พระนิพพาน คือ พระวิสุทธิเทพได้มาก

มีหลายท่านไม่เคยเห็นไม่รู้เรื่องเทพเทวดา ไม่เคารพเทวดา ก็ตั้งหน้าตั้งตาโจมตีต่อต้าน ว่า เทวดา เทพพรหมไม่มีจริงเป็นของหลอกลวง สิ่งที่ตามองไม่เห็นอย่านึกอย่าคิดว่าไม่มี สิ่งที่ ตาเห็นชัด อย่าคิดว่ามี เพราะไม่ช้าก็สูญสลายตายหมด ตาเป็นของหยาบ แม้แต่ในที่มืดหรือฝุ่นในอากาศก็มองไม่เห็น เทพเทวดาท่านมีกายทิพย์ใสสะอาดละเอียดกว่ากายผี แล้วตาหยาบของเราจะสามารถเห็นเทวดาพรหมและผีได้อย่างไร เทพเทวดาในโลกนี้มีจำนวนมากกว่าคนหลายเท่า ผี วิญญาณอยู่ในโลกนี้ปะปนไปกับคนก็มีมากมายหลายเท่ามีมากกว่าคน สัตว์เดรัจฉานก็มีมากกว่าคนรวมทั้งสัตว์ในมหาสมุทรในดินในอากาศ แต่คนเราก็คิดว่าคนเป็นใหญ่ในโลกนี้ อันนี้เป็นอวิชชาความหลงที่คนเรายังไม่รู้ความจริงของชีวิตของโลก ก้มหน้าก้มตาหาเงินทองเพื่อความอยู่รอดของชีวิตอันน้อยนิด แล้วก็ตายพลัดพรากจากกันไปแล้วย้อนมาเกิดใหม่ เมื่อยังไม่ยกระดับจิตเป็นอริยบุคคลก็ยังไม่มีวาสนาบารมีถึงพระนิพพาน

ดังนั้น ถ้าท่านยอมรับนับถือคุณความดีของเทพเทวดาในไม่ช้าจิตของท่านก็มีหิริ โอตัปปะ มีคุณความดีตามท่านเทพเทวดา ท่านก็มีจิตเป็นเทพเทวดาได้ไม่ยากเลยและท่านเทพเทวดาก็จะติดตามเฝ้ารักษาท่านให้ปลอดภัยจากอันตรายมีชีวิตเป็นสุขทั้งโลกนี้ โลกหน้า

กรรมฐานที่ 27 มรณานุสสติกรรมฐาน
มรณานุสสติ เป็นการภาวนาระลึกนึกถึงความตายไว้เป็นอารมณ์ มองเห็นคน สัตว์ ตัวเราเองก็ต้องตายกันหมดทั้งโลกไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน แม้แต่องค์พระโลกนาถศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้มีทั้งฤทธิ์เดชเป็นผู้วิเศษกว่าใครๆ ในโลก ในสวรรค์ ในพรหมท่านก็ต้องตาย นับประสาอะไรกับร่างกายเราจะหนีความเจ็บป่วย ความตายพ้น

ความตายมี 4 อย่าง
1. สมุจเฉทมรณะ ความตายจากกิเลสตัณหา อุปาทานของพระอรหันต์ ท่านจบกิจแห่งพรหมจรรย์หมดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาน คือ การตายของพระอรหันต์ ท่านไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เป็นการตายขาดตอนไม่เกิดอีกเลย

2. ขนิกมรณะ คือการตายของคน สัตว์ทุกวันนี้ ตายเล็ก ตายน้อย ตายจากเด็กเป็นผู้ ตายจากวัยผู้ใหญ่เข้าวัยชรา ชีวิตเคลื่อนไป ตายตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่มีลมหายใจใหม่ อาหารใหม่ น้ำใหม่ ต่อเติมเลี้ยงร่างกาย ร่างกายก็เหี่ยวแห้ง ตายไปร่างกายอยู่รอดได้ทุกวันนี้เพราะมีอากาศ ลมหายใจ น้ำ อาหารใหม่เข้าไปแทนที่ อากาศเก่า น้ำเก่า อาหารเก่าที่สูญเสียหมดไป

3. กาลมรณะ คือหมดอายุขัย ตายวัยชราแล้วจิตวิญญาณไปรับเสวยผลบุญ ผลบาปทันที

ที่ตาย

4. อกาลมรณะ คือ ตายก่อนถึงวาระเวลาที่ต้องตาย ตายเพราะบาปกรรมมาตัดรอน ตายเพราะภัยธรรมชาติ ตายเพราะสงคราม ตายเพราะโจรผู้ร้าย ตายเพราะโรคระบาด ตายเพราะโดนระเบิด โดยเฉพาะสมัยนี้มีการทำลายล้างตายกันง่ายๆ ตามข่าวโทรทัศน์ ตายฉับพลันทันใด เครื่องบินตกตาย รถทับตาย และตายอีกมากมาย บรรยายไม่จบ ตายแบบนี้เรียกว่า ตายโหง พวกนี้ตายโดยไม่ทันรู้ตัว ตกใจตาย จิตวิญญาณออกจากร่างกายก็กลายเป็นผีสัมภเวสีเร่ร่อนพเนจรไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร มีแต่ความหิวโหยติดต่อญาติคนรักก็ไม่รู้เรื่องกันก็ต้องเป็นผีรออยู่จนถึงวาระที่ต้องตายตอนเป็นคนจึงจะได้ไปเสวยผลบุญ ผลบาปตอนที่ทำไว้เมื่อสมัยเป็นคน



ตาย ก่อนอายุขัยนี้ สมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำพิธีต่ออายุให้เด็กคนที่จะต้องตายก่อนอายุขัย ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์ต่ออายุนั้น

เรื่องมีดังนี้
บิดา มารดาพาเด็กที่เกิดไม่กี่เดือนไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบอภิวาทพระบรมศาสดาลากลับทั้งพ่อ แม่ พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ทีฆายุโกโหตุ” แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอลูกชายเข้าไปกราบ พระพุทธองค์ท่านนิ่งเฉยไม่ตรัสว่าอะไร พ่อ แม่เด็กจึงกราบทูลถามว่า ทำไมพระองค์ไม่ทรงประทานพรให้แก่เด็ก องค์พระศรีศากยมุนีทรงตรัสตอบว่า บุตรชายของเธอจะตายภายใน 7 วันนี้ องค์พระตถาคตจึงไม่ได้ให้พรอย่างนั้น พ่อ แม่เด็กตกใจจึงวอนขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ช่วยเหลือไม่ให้ถึงตายได้ พระพุทธองค์จึงสั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้วให้พระภิกษุนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตร 7 วัน 7 คืน พอวันที่ 7 เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์จะมาเอาชีวิต หรือจิตวิญญาณของเด็กวันนั้น องค์พระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ ทรงเสด็จมาหาเด็ก พรหมเทพเทวดาผู้เป็นใหญ่ก็ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย ยักษ์เข้าไม่ถึงเด็ก เมื่อครบเวลาที่จะมาเอาชีวิตจิตวิญญาณ ยักษ์เลยต้องหนีไป ถ้าเลยเวลาตายแล้วยักษ์ทำอะไรไม่ได้ยักษ์เขาทำตามกฎของกรรมจะให้ตายเวลาเท่าไร พอเลยเวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับ พระก็กลับเลิกพิธี องค์พระตถาคตจึงประทานพรแก่เด็กว่า “ทีฆายุโกโหตุ” ต่อมาเด็กคนนั้นก็มาบวชเณรเมื่ออายุ 7 ปี ได้สำเร็จเป็นพระอรหัตผล ท่านมีอายุยืนถึง 120 ปี จึงนิพพาน เด็กคนนั้นมีนามว่า อายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนสามเณร อายุวัฒนพระเถระเจ้า

คุณประโยชน์ของการนึกถึงความตาย มีมากมาย
1. เป็นการเจริญวิปัสสนาญาณชั้นยอด ความตายคืออนัตตา การแตกแยกสูญสลายทำให้จิตมีปัญญาชาญฉลาด ตัดขาดจากกิเลส โลภ โกรธ หลงได้ง่ายๆ เพราะนึกถึงความตายก็ไม่รู้จะหลงอะไรกันต่อไปอีก เราก็ตาย เขาก็ตาย

2. คิดถึงความตายทำให้รีบเร่งทำคุณงามความดี มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเพื่อจะได้ไปนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิด ตายกันอีก

3. ผู้ที่นึกถึงความตาย ไม่ต้องการเกิดเป็นคน เทวดา พรหม พอใจในพระนิพพาน ทำจิตว่างจากการเกิด ท่านมีหวังเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ได้แน่นอน

แม้แต่องค์พระสยัมภูศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ทรงระลึกนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับท่านพระอานนท์ไว้ว่า “อานันทะการนึกถึงความตายวันละ 7 ครั้ง ยังห่างมากนัก ตถาคตเองนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ดังนั้น พวกเราพุทธบุตร ควรระลึกถึงความตายทุกลมหายใจดังเช่นพระบรมศาสดาในไม่ช้าเราก็พ้นทุกข์เจริญรอยตามพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนไว้



กรรมฐานที่ 28 กายคตานุสสติกรรมฐาน
คือ การระลึกนึกถึงร่างกายคน สัตว์ตามความเป็นจริงว่า สกปรก โสโครก ไม่สวย ไม่งาม น่าเกลียด น่ากลัว เหม็นทั้งข้างนอกข้างในร่างกาย

กรรมฐานเรื่องร่างกายนี้ สำคัญมาก เป็นกรรมฐานพิเศษสุด ผลที่พิจารณากรรมฐานเรื่องกายจะมีจิตถึงปฐมฌาน แต่ถ้ายึดสีแดงสีเลือดของร่างกายภาวนาเป็นกสิณก็มีจิตเข้าถึงฌาน 4 ได้ ในวิสุทธิมรรค ท่านให้พิจารณาอาการ 32 อย่าง ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ พิจารณากลับไปกลับมาดูให้เป็นจริงจังว่าน่ารักหรือน่ารังเกียจ กายนี้เต็มไปด้วยของสกปรก เหม็นเน่า เหม็นคาว มีตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ ซี่โครง เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นประสาทสมอง กระเพาะอาหาร ม้าม ไส้ใหญ่ ไส้เล็ก ไขกระดูก ข้อต่อ พังผืด น้ำเลือด น้ำหนอง ปัสสาวะ อุจจาระ เนื้อ ลอกเอาผิวหนังออกดูไม่ได้สักอย่างเดียว ร่างกายสกปรกต้องชำระล้างอาบน้ำทุกวัน สิ่งที่หลั่งไหลออกจากกายก็เหม็นทุกวัน ผู้ที่เห็นคนหนุ่มสาวว่าหล่อ สวย งาม แต่ไม่ยอมมองสิ่งสกปรกโสโครกที่หลั่งไหลออกจากร่างกาย คนที่หล่อที่สวยส่งกลิ่นเหม็นสาบ เหม็นสาง เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน เพราะไม่น่าดู น่าดมต่างก็พยายามปกปิดความจริง ไม่ยอมพูดถึง ไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริง เพราะอวิชชา ตัณหา อุปาทานปกปิด ตาจิต ตาเนื้อเอาไว้ พยายามโกหกตนเอง และผู้อื่นว่าร่างกายยังสวย ยังสาว ยังหล่อเหลาน่ารักอยู่ แท้ที่จริงร่างกายคน สัตว์มีสภาพเป็นส้วมเคลื่อนที่ ที่เอาอุจจาระ ปัสสาวะไปถ่ายเทไว้ในส้วมทุกวัน แล้วมาประดับตกแต่งตัวเสื้อผ้าอาภรณ์ เพชรนิลจินดาแพงๆ หลอกลวงตนเอง ผู้อื่นว่าสวยสดงดงาม ผู้ที่ได้เห็นร่างกายคน สัตว์ ได้การพิจารณาไม่ฉลาดก็มีความหลงติดอกติดใจหลงใหลใฝ่ฝันในรูปร่างกายคนรักในไม่ช้าก็พบกับความทุกข์ยากลำบากกายใจ เพราะรูปร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บป่วยพิการ หรือจิตใจปรวนแปรด้วยความเห็นไม่ตรงกัน รักกันไม่นานก็เบื่อ มีโลภ โกรธ หลง หาของดีๆ สวยๆ อันใหม่หาคนรักใหม่ต่อไป

พระอริยเจ้าท่านฉลาดมองพินิจพิจารณารูปร่างกาย คน สัตว์ ไม่มีใครดี ไม่มีใครงามเต็มไปด้วยของสกปรกเหม็นเลอะเทอะ ท่านไม่สนใจกายใครเบื่อหน่ายออกบวช เบื่อเพศฆราวาสมองร่างกายแต่ละบุคคลเห็นเป็นสภาพส้วมเคลื่อนที่ มีธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเป็นศพเดินได้ พูดได้ ท่านจึงหมดความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉม โนมพรรณ ไม่ใช่ของจริงมิช้าก็เหี่ยวย่นแตกสลายตายกันหมด ตอนเป็นคนก็มองเป็นผีดิบ ตายแล้วกลายเป็นผีสุก องค์พระพิชิตมารศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย้ำให้เอาจิตใจเราเลิกยึดถือติดในร่างกายตนเองเสียจึงจะพ้นทุกข์ จึงจะมีความสุข คือ พระนิพพาน ต้นเหตุของความทุกข์ คือ การมีขันธ์ 5 ร่างกายดับทุกข์ก็ดับที่ต้นเหตุ คือจิตไม่ติดยึดในร่างกายอีกต่อไป จิตก็เป็นอิสระเสรี ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส คือ ร่างกาย จิตก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตายแล้วก็มีแดนทิพย์นิพพานตลอดกาลเป็นที่เสวยสุขของจิตที่บริสุทธิ์
กรรมฐานที่ 29 อานาปานุสสติกรรมฐาน

คือ การตั้งสติรู้ตัวอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกตลอดเวลาที่มีสมาธิภาวนาอยู่ กรรมฐานรู้ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกรรมฐานคลุมกรรมฐานทั้ง 40 กอง จะภาวนากรรมฐานอันใดอันหนึ่งก็ต้องเริ่มด้วยการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเสียก่อน ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ถ้าไม่กำหนดระลึกรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก การบรรลุมรรคผลจะเข้าถึงช้ามาก หรือท่านจะกำหนดลมหายใจเข้าออกไปกับการพิจารณากรรมฐานร่างกาย กรรมฐานซากศพ พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พร้อมกับดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย จึงจะได้บรรลุอริยมรรค อริยผลรวดเร็ว อานาปานานุสสตินี้มีสมาธิเป็นผลถึงฌาน 4 สำหรับพุทธสาวก สำหรับท่านที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คือ พระพุทธเจ้าท่านผู้นั้นจะทรงฌานที่ 5 ฌานที่ 4 จิตจะแยกออกจากกายไม่รับรู้ทุกขเวทนาทางกาย มีจิตเป็นสุขอย่างเดียว เป็นเอกัคคตา คือ จิตเป็นหนึ่งนิ่งในฌาน 4 ฌานที่ 5 สำหรับพุทธภูมิพระโพธิสัตว์ คือ ปัญจมฌาน จิตเป็นสุขทรงอยู่ในเอกัคคตารมณ์ อารมณ์เป็นหนึ่ง มีอุเบกขา ความวางเฉยเพิ่มรวมกับอารมณ์เป็นสุขของฌาน 4

เมื่อท่านที่ทรงอานาปานานุสสติถึงฌาน 4 มีสุขเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ท่านพิจารณากรรมฐานอื่นๆ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาแล้วมีปัญญาเฉียบแหลมจากฌาน 4 ท่านก็สามารถบรรลุ พระอรหันต์ผลภายใน 3 วัน เป็นอย่างช้า ภายในที่นั่งเดียวคราวเดียวเป็นอย่างเร็ว

เมื่อท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนจิตไม่รับลมหายใจ ไม่รับทราบอาการทางกายท่านเรียกว่า ทรงฌาน 4

วิธีปฏิบัติอานาปานุสสติกรรมฐาน
1. อยู่ที่ไหน เวลาใด ทำงานอะไร นั่ง เดิน ยืน นอน วิ่ง ขับรถ ล้างจาน ตำน้ำพริก อ่านหนังสือ ดูทีวี พูดจากับใคร ทำได้ทั้งนั้น ทำง่ายๆ ไม่ต้องนุ่งขาว ห่มผ้าเหลือง ไม่ต้องหนีไปอยู่วัด อยู่ป่า อยู่ในบ้านเมืองที่วุ่นวายก็ทำได้ เพราะลมหายใจมีอยู่ในร่างกายเรามาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เอาจิตเอาใจรับรู้ลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาว เร็วหรือช้า ให้ติดตามลมหายใจเท่านั้นทำได้ทั้งลืมตา หลับตา ไม่ต้องนั่งนิ่งๆ หรือเดินช้าๆ เราฝึกที่จิตไม่ได้ฝึกหัดเดินหัดนั่ง

2. จิตใจเราเคยท่องเที่ยวคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้จนเคยชิน เคยตามใจจิตใจจนเหลิง มาคราวนี้เราจะบังคับให้รู้แต่ลมหายใจอย่างเดียวมาบังคับปุ๊บปั๊บนั้นเห็นท่าจะยากเย็นเข็ญใจ ที่จิตจะยอมทำตามเรา จิตจะดิ้นรนวิ่งไปคิดอันโน้นอันนี้ตามเดิม กว่าเราจะรู้ตัวจิตก็คิดไปไกลก็คิดได้หลายเรื่องแล้ว ก็ไม่เป็นไรกลับรู้ลมหายใจต่อใหม่ค่อยๆ ทำไปจนมีอารมณ์ชินกับการรู้ลมเข้าลมออกได้วันละ 5 นาทีก็ดีมากแล้ว

3. ถ้าจะให้ดีมากขึ้นเวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกให้นึกว่า โธ เป็นพระนามขององค์พระพิชิตมารศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นบุญบารมีใหญ่ทำให้จิตใจสะอาดสมาธิตั้งมั่น ปัญญาแจ่มใส เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนได้เร็ว เป็นเหตุให้เข้าถึงอริยมรรคอริยผลทางเข้ากระแสนิพพานได้ง่าย

4. เพื่อให้จิตใจตั้งมั่นภาวนาดียิ่งขึ้นจิตไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปนอกเรื่องนอกทาง องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทรงสอนให้กำหนดภาพพระพุทธรูปที่ไหนก็ได้ที่เราชอบนึกถึงภาพพระองค์ท่านเป็นสีเหลือง สีเขียว เป็นกรรมฐานทางกสิณอีกเพิ่มเป็น 3 กรรมฐาน นับรวมกันกำหนดรู้ลมเข้าออก นึกถึงพระคุณความดีขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จับภาพพุทธนิมิตจำเอาไว้ในจิตในใจ จิตจะเป็นสมาธิเป็นฌานรวดเร็วไม่วิ่งหนีฟุ้งซ่านไปไกลไร้ประโยชน์ จิตเป็นหนึ่งรวดเร็วรวมพลังเอาไว้ตัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ออกจากใจให้หมดไปเร็วไว

5. ปฏิบัติใหม่อารมณ์จะซ่านจะตีกันจะเกิดอาการกลุ้ม บางวันดีบางวันไม่เป็นเรื่องท่านก็สอนให้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว อย่าเคร่งเครียดอย่าขี้เกียจเกินไป ถ้าไม่ไหวก็เลิก อารมณ์ดีค่อยดูลมหายใจต่อใหม่

6. เมื่อจิตรู้ลมเข้าออกเป็นปกติใจสบายจิตจะผ่องใสอารมณ์ปลอดโปร่ง จิตจะมีพลังปัญญาพลังบารมีดีมีความฉลาดสามารถแก้ไขปัญหายุ่งยากของชีวิตได้อย่างง่ายดาย ปัญหาทางธรรมก็สละละกิเลสตัณหาอุปทานได้รวดเร็ว จิตเป็นสุขร่างกายแข็งแรงมีโรคภัยน้อย จิตใจดีจิตใจมีคุณธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญเจริญสุขก็ตามมาไม่ต้องรอเวลาไปถึงชาติหน้าเมื่อไม่ต้องการโลก สวรรค์ พรหม ก็มีพระนิพพานเป็นที่หวังได้แน่นอน เพราะศีล สมาธิ ปัญญา แท้ที่จริงก็คืออันเดียวกันมีอยู่ด้วยกันพระท่านแบ่งแยกสอนให้เราเข้าใจง่ายเท่านั้น

7. การรู้ลมหายใจเข้าออกถ้าฝึกแบบกรรมฐาน 40 หรือให้ถึงฌาน 4 ท่านให้เอาจิตจับว่าลมหายใจกระทบ 3 ที่ คือรู้ลมกระทบปลายจมูก รู้ลมกระทบหน้าอก รู้ลมกระทบหน้าท้องพองขึ้น คือ หายใจเข้า ถ้าหายใจออกก็ให้รู้ลมกระทบหน้าท้องยุบลง กระทบหน้าอก กระทบปลายจมูก เมื่อลมหายใจออก

ถ้านักปฏิบัติทางฝ่ายมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านก็ให้รู้ลมเข้าออกช้าหรือเร็วที่ปลายจมูกพร้อมกับพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าทรงสมาธิเป็นฌาน 1 ได้ คือปฐมฌาน ท่านก็ใช้ปัญญาฌาน 1 ตัดกิเลส อวิชชา ตัณหาอุปาทาน ตัดสังโยชน์ 3 คือเห็นว่าร่างกายตายแน่นอนไม่สงสัย พระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระประทีปแก้วศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีศีล 5 ครบ ท่านก็มีบุญวาสนาบารมีเข้าอริยมรรค อริยผลขั้นพระโสดาบันได้รวดเร็วเช่นกัน

กรรมฐานที่ 30 อุปสมานุสสติกรรมฐาน

คือกรรมฐาน ที่ให้นักปฏิบัติระลึกนึกถึงพระคุณความดีความประเสริฐความสุขสงบอย่างยิ่ง พ้นจากบ่วงเวรกรรมเวียนว่าย ตาย เกิด นิพพาน แปลว่า ดับ กิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน และอกุศลกรรม ถ้าระลึกถึงพระนิพพานบ่อยๆ ตลอดเวลาได้ยิ่งดี จิตใจเรา ท่านก็จะว่างจากกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน อกุศลกรรมได้ง่ายๆ เพราะจิตมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญาอยู่ในจิตใจเมื่อได้นึกคิดพิจารณาคุณประโยชน์สุขยอดเยี่ยมของพระนิพพาน

พระคุณเจ้าหลวงปู่พระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาเขียนพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์เยี่ยมยอดขั้นปฏิสัมภิทาญาณชาญฉลาด ท่านอธิบายถึงคุณพระนิพพานโดยท่านยกบาลี 8 ข้อไว้เป็นแนวทางให้เรา ท่านระลึกนึกถึงนิพพาน มีลักษณะ และคุณประโยชน์ ดังนี้

1. มทนิมฺมทโน การระลึกนึกถึงพระนิพพานทำให้จิตใจเราหมดความมัวเมาในชีวิตที่คิดว่าจะไม่ตายเสียได้

2. ปิปาสวินโย การระลึกนึกถึงพระนิพพาน คือจิตสะอาด บริสุทธิ์เป็นจิตนิพพานแล้ว บรรเทาความใคร่ ความกระหาย หลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอ่อนนุ่ม คือ กำหนัดยินดีในกามคุณทั้ง 5 ก็หมดสิ้นจากจิตใจ

3. อาลยสมุคฺฆาโต การระลึกนึกถึงนิพพานทำให้จิตใจสะอาด หมดกิเลส คือ ท่านที่เข้าถึงนิพพานหมดสิ้นกิเลสแล้ว จิตใจท่านย่อมไม่ผูกพันกับกามคุณทั้ง 5 เห็นกามคุณทั้ง 5 ก็เสมือนเห็นซากศพที่เหม็นเน่า

4. วัฏฏปัจเฉโท การระลึกนึกถึงคุณความดีของพระนิพพาน ทำให้จิตสลัดตัดการเวียนว่าย ตาย เกิด ตัดกิเลสได้หมดสิ้น ไม่มัวเมาในกิเลสทุกชนิด ตัดบาปกรรม พระนิพพานทำให้พ้นทุกข์จากบาปกรรมได้หมดโดยสิ้นเชิง

5. ตัณหักขโย พระนิพพานดับสิ้นแห่งความอยากตัณหา

6. วิราโค การระลึกนึกถึงคุณพระนิพพานทำให้ราคะตัณหา ความอยากใน 3 โลกหมด สิ้นไป

7. นิโรโธ การระลึกนึกถึงคุณของพระนิพพาน ทำให้กิเลสราคะ ตัณหา ความอยากไม่กำเริบ คือ ดับหมดสิ้นสนิท มีความสุข สงบยิ่ง หมดความทุกข์ทั้งปวง

8. นิพพานัง ดับสิ้นจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม อำนาจกรรมทั้ง 4 ไม่สามารถจะทำร้ายแก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงนิพพานอีกต่อไป

ท่านสอนให้ระลึกนึกถึงคุณของพระนิพพานทั้ง 8 ข้อ หรือ ข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ตามชอบใจ โดยให้ภาวนาตามลมหายใจเข้าออกด้วย บริกรรมภาวนาว่า นิพ พานัง ภาวนาจนจิตเข้าสู่อุปจารฌานได้ถึงที่สุดเป็นอารมณ์พิจารณาเป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม มีกำลังไม่ถึงฌาน 1 คุณประโยชน์ภาวนาพิจารณาพระนิพพานมีคุณประโยชน์มาก ทำให้หมด อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส และอกุศลกรรมได้ง่าย เป็นอริยมรรค อริยผล เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้าตั้งแต่ พระโสดาบันขึ้นไป เป็นปัจจัยให้จิตเข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายๆ

พระนิพพานสูญจริงตามที่พระบาลีกล่าวไว้ว่า
นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ใช่หรือไม่ ?

ตามหนังสือวิสุทธิมรรคที่พระอรหันต์ พระคุณเจ้าหลวงปู่พระพุทธโฆษาจารย์เขียน ดังพระบาลีทั้ง 8 คุณลักษณะพระนิพพานไม่มีคำว่าสูญ เพียงแต่ว่า ว่างดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา สูญจากธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ สูญจากขันธ์ 5 เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สูญจากความทุกข์ยาก ลำบากโดยสิ้นเชิง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่สูญสิ้น คือ จิตฉลาด สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส ตัณหา อวิชชา จิตมีปัญญา จิตพระอรหันต์ไม่สูญสิ้น คือ จิตพระนิพพาน จิตพุทธะ จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้านิพพานสูญตามที่ท่านเข้าใจผิดแล้ว พระพุทธองค์คงไม่ตรัสต่อไปว่า

นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปลว่า จิตสะอาด ปราศจากกิเลส คือ จิตนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งทั้งๆ ที่ยังมีร่างกายขันธ์ 5 สกปรกเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แต่จิตเป็นสุขไม่เป็นทุกข์ตามขันธ์ 5 ร่างกาย

ผู้ที่สงสัยในพระนิพพานสูญหรือไม่ องค์พระประทีปแก้วศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดเมตตาประทานวิชามโนมยิทธิกรรมฐาน มาให้ทุกท่านได้ฝึกพิสูจน์ สัมผัสนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ได้ตามรายการที่ให้ไว้สถานที่ต่างๆ ด้านหลังหนังสือ ตราบใดที่ท่านยังสงสัย หรือเข้าใจผิดพลาด เรื่องพระนิพพานตามที่นักเขียนทั้งหลายคิดเขียนขึ้นมาเองตามที่แปลพระบาลีได้ผิดๆ ไม่ถูกต้อง เพราะบุญบารมีมีไม่มากพอที่จะเข้าใจในพระนิพพานได้ จะทำให้ท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนาน เพราะการเข้าใจผิดพลาดเป็นกิเลสสังโยชน์ข้อที่ 2 คือ วิจิกิจฉา คือ ความลังเล สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สงสัยเข้าใจผิดพลาดในพระนิพพาน พระธรรมของพระพุทธองค์ทรงค้นพบพระนิพพานแสนยาก แต่ต่อมามีลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวตู่ว่า พระนิพพานสูญหมดสิ้น ตายแล้ว สูญว่างเปล่าหมด นรก สวรรค์ พรหม นิพพานไม่มี อย่างนี้เป็นการแปรเปลี่ยนพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้มีอวิชชา เมื่อมีอวิชชา ความไม่รู้จริงสิ่งที่ตามมาคือ กิเลส ตัณหา อุปาทา มีทิฏฐิมานะคิดว่าความคิดของตนเองถูต้องแล้ว ก็อีกนานนักถึงจะมองเห็นแสงธรรมแสงสว่างพระนิพพาน สิ่งที่เป็นบาปกรรมตามมาคือ แปลเปลี่ยนพระธรรมคำสอนขององค์พระศาสดา ก็คือมีทางเดียวที่จิตจะไปเสวยความทุกข์ในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คือ อบายภูมิ

หนังสือธรรมประทานพรออกมาสู่สายตาท่านก็เนื่องจากดิฉันผู้เขียนได้ฝึกมโนมยิทธิตามแบบที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เดินทางไปสั่งสอนลูกหลานถึงอเมริกา ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีบุญวาสนาได้ฝึกกับลูกศิษย์ของพระคุณเจ้าหลวงพ่อท่าน พอฝึกได้แล้วจิตของดิฉันก็เฝ้าอยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดเวลา คอยกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธองค์ เพราะเป็นคนชอบสงสัยอยากรู้ ตั้งหน้าตั้งตาอยากเห็นไปหมดทุกอย่าง ทั้งที่เป็นสาระและไม่เป็นสาระประโยชน์ จนโดนดุมากๆ จึงเลิกสงสัย ก้มหน้าก้มตาละกิเลสตัณหาของตนเองต่อไปจนกว่าจะตาย แล้วองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โปรดเมตตามีพระพุทธบัญชาให้ดิฉันเขียนหนังสือ โดยได้ทรงประทานชื่อว่า ธรรมประทานพร คำอักษรทุกตัวที่เขียนก็มาจากพระองค์ท่านโปรดเมตตาดลจิต ดลใจให้ดิฉันเขียนออกมาได้ง่ายๆ ท่านผู้อ่านที่สงสัยในเรื่องพระนิพพานก็ให้ตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐานมีศีล สมาธิ วิปัสสนาญาณ หาอาจารย์ฝึกมโนมยิทธิกรรมฐานเพื่อพิสูจน์สภาวะนิพพานด้วยตนเองจะมีปัญญาเข้าใจในพระนิพพานได้ถูกต้องไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ตามความเข้าใจผิดๆ ของตนเอง จะทำให้เป็นบาปเป็นกรรมชั่วโดยที่ท่านไม่รู้ตัวว่ามีความผิด พระนิพพานไม่ได้สูญสลายหายไปไหน พระนิพพานยังอยู่ในจิต ในใจของพระอริยะเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ และพระอรหันต์ในเมืองไทยท่านก็ยังมีชีวิตอยู่มากมาย จิตใจท่านไม่ได้หายไปไหน ท่านรอให้ร่างกายสูญสลายตายไป จิตท่านจะเข้าบรมสุขแดนทิพย์นิพพานตลอดกาล

พรหมวิหาร 4
กรรมฐานที่ 31 เมตตา

มีจิตรัก ปรารถนาดีต่อคน สัตว์ที่เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันทั่วทั้งโลกไม่ได้รัก เมตตาฉันชู้สาว หรือ เมตตา เพื่อหวังผลตอบแทน

กรรมฐานที่ 32 กรุณา
มีจิตคิดช่วยเหลือ สงเคราะห์ให้พ้นจากความทุกข์ยาก ลำบากกาย ใจ ช่วยตามที่จะ

ช่วยได้

กรรมฐานที่ 33 มุทิตา
มีจิตพลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี มีความสุข ไม่มีจิตอิจฉา ริษยา มีจิตอ่อนโยน



กรรมฐานที่ 34 อุเบกขา
มีอารมณ์เฉย เมื่อช่วยเหลือใครไม่ได้ ไม่ดีใจเมื่อได้ลาภยศสรรเสริญเจริญสุข ไม่เสียใจเมื่อเสื่อมลาภยศสรรเสริญเจริญสุข

เฉยในความเมตตา ไม่ใช่เฉยด้วยใจจืดใจดำ ไม่สนใจ ถ้าทุกท่านมีคุณธรรมทั้ง 4 อยู่ในใจตลอดเวลา พระท่านถือว่าจิตทรงฌานในพรหมวิหาร ตายแล้วจิตออกจากร่างก็มีหวังเป็นเทพชั้นประเสริฐ คือ ชั้นพรหม

คุณประโยชน์ของผู้มีพรหมวิหาร 4 ข้อ คือ
1. สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุขเหมือนนอนหลับในสมาบัติ หลับในฌาน

2. ตื่นขึ้นจิตมีความสุขไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว มีจิตชื่นบาน

3. นอนฝัน ก็ฝันสิ่งที่ดี

4. เป็นที่รักของคนทั่วไป เทพ เทวดา พรหม ภูตผี ก็มาขอส่วนบุญ ภูติผีก็ไม่ทำอันตรายได้

5. จะไม่มีอันตรายจากไฟไหม้ จากอาวุธ ยาพิษ

6. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์ สมาธิเป็นปกติไม่เสื่อม และจะเจริญก้าวหน้าในสมาธิยิ่งขึ้น

7. มีใบหน้าสดใสชื่นบาน แก่ช้า

8. เมื่อจะตาย ไม่หลงสติฟั่นเฟือน ตายจะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

9. เทวดา พรหมจะคอยติดตามรักษา ให้ความปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ทำให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน

10. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลชาตินี้ ผลจากการมีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร 4 จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลกมีความสุขมาก จากพรหมโลกได้รับคำสอนจากพระอรหันต์เบื้องบนก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าพระนิพพานได้ง่ายๆ

11. มีอารมณ์สดชื่น แจ่มใส เบิกบาน ปลอดโปร่ง มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะเมตตา ทำให้มีปัญญาดีไม่ละเมิดศีล 5 มีฌานในพรหมวิหาร4 มีสมาธิตั้งมั่น จิตใจไม่วอกแวกวุ่นวาย จิตมีความสุข

อรูปฌาน 4อรูปฌาน 4 คือ การภาวนาอยู่ในอารมณ์ของฌานที่ไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็นด้วยตา แต่มีอยู่ อรูปฌานนี้เป็นฌานละเอียด และอยู่ในระดับฌานสูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปฌานทั้ง 4 แล้วเจริญวิปัสสนาฌาน คือ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รวมทั้งของที่มองไม่เห็น คือ อากาศ สัญญา ความจำ สังขาร ความคิดดี ชั่วทั้งหลาย เวทนา ความรู้สึกสุขๆ ทุกข์ๆ ทั้งหลาย วิญญาณ ระบบประสาททุกส่วนในร่างกายเป็นความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นของแปรปรวน เป็นทุกข์ เป็นโทษ แล้วก็สูญสิ้นสลายกลายเป็นอนัตตา คือ ความว่างเปล่า แล้วเข้าใจสภาพทุกอย่างตามความจริง ตามกฎธรรมชาติ ท่านก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้รวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะเป็นฌานละเอียดสูงสุด ปัญญาเฉียบแหลม อรูปฌานนี้มีลักษณะเป็นฌานปล่อย อารมณ์จิตไม่ยึด ไม่เกาะในรูปลักษณ์ หรือไม่มีรูปลักษณ์ ทำใจให้ว่างเปล่าจากรูป จากนาม จากวิญญาณ ว่างเปล่าจากความจำได้หมายรู้ ท่านที่ได้อรูปฌานทั้ง 4 จิตว่างจากกิเลส อารมณ์เป็นสุขสงบ ในฌาน เมื่อสำเร็จมรรคผลจากการเจริญวิปัสสนาญาณ จะได้เป็นพระอรหันต์สูงสุด มีความสามารถพิเศษเหนือพระอรหันต์ทั้งปวง คือ พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ มีทั้งอภิญญา 6 มีทั้งเตวิชโช คลุมทั้งพระอรหันต์สุขวิปัสสโก แถมยังมีคุณพิเศษอีก 4 อย่าง คือ

1. อัตถาปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉาน ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ยากเป็นง่าย ย่อความเรื่องราวพิสดารให้ง่าย สั้นได้ใจความชัดเจน

2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรมที่พิสดารยากที่จะรู้ ท่านทำให้ง่ายเข้าใจชัดเจนในหัวข้อธรรมนั้นๆ

3. นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความเฉลียวฉลาดในภาษาทุกๆ ภาษา รวมทั้งภาษาสัตว์ รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาโดยไม่ต้องเรียนได้อย่างอัศจรรย์

4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณว่องไว เฉลียวฉลาด สามารถแก้ปัญหาทุกปัญหาได้อย่างอัศจรรย์

พระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี ท่านเขียนไว้ในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ถึงความแตกต่างของพระผู้ทรงอภิญญา 6 กับพระปฏิสัมภิทาญาณ ดังนี้



พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
1. ท่านได้ฝึกกสิณ 10 และทรงอภิญญามาก่อนจนชำนาญครบทุกกอง

2. แล้วท่านเข้าฌานในกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งจนถึงฌานที่ 4

3. แล้วปล่อยนิมิตในกสิณแล้วภาวนาเจริญอรูปฌาน 4

4. ต้องสำเร็จมรรคผลอย่างต่ำเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหัตผลก่อน

5. ผล หรือคุณพิเศษปฏิสัมภิทาญาณจึงจะปรากฏบังเกิดเมื่อท่านบรรลุอรหัตผล

พระอรหันต์อภิญญา
1. ท่านปฏิบัติกสิณ 10 ครบจนชำนาญ

2. อย่างน้อยได้กสิณ 8 อย่างยกเว้น อาโลกกสิณ และอากาศกสิณ

3. เมื่อชำนาญกสิณทั้ง 8 หรือทั้ง 10 ได้ทั้งๆ ที่เป็นฌานโลกีย์ ท่านก็ทรงอภิญญาได้

4. นักปฏิบัติที่ไม่เคยฝึกเรียนกสิณเลย หรือทรงกสิณได้บางส่วนแต่ยังไม่ถึงขั้นอภิญญา แล้วท่านมาเรียนปฏิบัติในอรูปฌานนี้ย่อมปฏิบัติไม่สำเร็จ เพราะการที่ทรงอรูปฌานได้ต้องใช้กสิณ 9 ประการ คือ ปฐวี เตโช วาโย อาโป นิล ปิตะ โลหิต โอทาตะ อาโลกะ เว้นอากาศกสิณอย่างเดียว ทั้ง 9 กสิณนี้เป็นรากฐานของอรูปฌาน ต้องได้กสิณนั้นๆ ถึงฌาน 4 แล้วจึงเข้าอรูปฌานได้

กรรมฐานที่ 35 อากาสานัญจายตนะ หรืออรูปฌานที่ 1

กรรมฐานกองนี้เรียกอีกอย่างว่า สมาบัติ 5 ในวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะเข้ากรรมฐานอรูปฌานอากาสานัญจายตนะ ต้องเข้าฌานในกสิณ 10 กองใดกองหนึ่งให้เป็นฌาน 4 ก่อน แล้วขอให้นิมิตกสิณกองนั้นหายไป เพราะตราบใดที่มีรูปอยู่ก็เป็นปัจจัยให้มีความทุกข์ไม่จบสิ้น รูปกายคน กายสัตว์ กายเทวดาใดๆ ก็ตามที่มีก็ไม่คงทน แตกสลายในที่สุด เราไม่ต้องการในรูป กายใดๆ ทั้งสิ้นแล้วละทิ้งรูปนิมิตกสิณที่จับไว้เสีย ถืออากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิต ที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ แล้วอธิษฐานย่อให้อากาศเล็กใหญ่ตามประสงค์ จนจิตรักษาอากาศไว้เป็นอารมณ์ โดยกำหนดจิตใจว่า อากาศไม่มีที่สิ้นสุด จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ คือ อารมณ์เฉยนี้คือ อรูปฌาน 1 หรือ สมาบัติ 5 ต่อจากฌาน 4 เรียกว่าสมาบัติ 5

กรรมฐานที่ 36 วิญญาณัญจายตนะ หรืออรูปฌานที่ 2

หมายถึง ภาวนากำหนดวิญญาณ ซึ่งไม่มีรูปลักษณ์เป็นอารมณ์ เริ่มด้วยการจับกสิณ 10 เป็นรูปนิมิต ภาวนาอันใดอันหนึ่งก่อนจนจิตเป็นฌาน 4 เปลี่ยนจากกสิณนิมิตเป็นภาพอากาศกสิณแทน จนจิตนิ่งเฉยดีแล้วเปลี่ยนจากอากาศโดยตั้งใจกำหนดจดจำว่าอากาศที่เป็นนิมิตนี้ถึงแม้จะไม่มีรูปก็ตาม แต่ก็ยังหยาบอยู่มาก เราจะทิ้งอากาศเสีย จับเอาเฉพาะวิญญาณตัวรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นอารมณ์ แล้วกำหนดทางจิตว่า วิญญาณ ความรู้สึกทางอายตนะ 6 ทั้งหลายเวิ้งว้างกว้างใหญ่หาที่สุดมิได้ จิตรู้ว่าวิญญาณกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด นามรูป วิญญาณคน สัตว์ ผี เทพ พรหมยังมีความรู้สึกทางวิญญาณ ถ้าจิตติดในรูปวิญญาณของผี เทวดา พรหมก็ยังคงเวียนว่าย ตาย เกิดไม่มีที่สิ้นสุด เราไม่ต้องการมีวิญญาณ เพราะยังไม่หมดทุกข์ ยังมีความรู้สึกทางระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คิดอย่างนี้ตลอดจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ วางเฉยอย่างเดียว ท่านเรียกว่า สมาบัติที่ 6

กรรมฐานที่ 37 อากิญจัญญายตนะ หรือ อรูปฌานที่ 3

ภาวนาต่อจากอรูปฌานที่ 2 คือ วิญญาณัญจายตนะ โดยเข้าฌาน 4 ในวิญญาณ กำหนดวิญญาณไม่มีจุดจบสิ้นแล้ว ถ้าจิตยังติดอยู่ในวิญญาณเพียงไร ก็ต้องเวียนว่าย ตายเกิดไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนวิญญาณฉันนั้น เปลี่ยนจากวิญญาณออกไป เราไม่ต้องการอากาศไม่ต้องการวิญญาณ เพราะยังไม่จบการเวียนว่าย ตาย เกิด ยังไม่พ้นทุกข์ คิดว่าอากาศไม่มี วิญญาณไม่มี คือ ไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยนิด ถ้ามีก็พังสลายเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สุด จิตจับเอาความว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือจะได้ไม่มีทุกข์ต่อไป การไม่มีอะไรในอากาศ และวิญญาณปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตราย แล้วกำหนดจิตไม่เอาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ยึด ไม่ถือ ไม่มีอะไรทั้งหมดในจิต จนจิตเป็นหนึ่ง คือ วางเฉยเป็นอุเบกขารมณ์ เรียกว่า สมาบัติที่ 7


กรรมฐานที่ 38 เนวสัญญานาสัญญายตนะ หรืออรูปฌานที่ 4

อรูปฌาน 4 หรือสมาบัติ 8 เริ่มจากอรูปฌาน 1 เข้าอรูปฌาน 2 แล้วเข้ารูปฌาน 3 คือ อากิญจัญญายนตนะ จนจิตวางเฉยเป็นหนึ่งเดียวจากความไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่น้อยนิด ยังมีเหลือแต่จิตที่ยังมีความจำได้หมายรู้ จำชื่อ จำเพศ จำบิดา มารดา จำคนรัก จำทรัพย์สมบัติตนเองตราบใดที่ยังมีความจำได้หมายรู้ ความรู้สึกสุขๆ ทุกข์ๆ จากการจดจำยังมีอยู่ ถ้าการพลัดพรากจากของที่จำได้ ก็ยังมีความอาลัย อาวรณ์ เสียดาย ก็ทิ้งอารมณ์จิตที่จำอะไรน้อยนิดหนึ่งไม่มีเลยนั้นเสีย แล้วกำหนดจิตเอาว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่มีสัญญาความจำ คือ ทำความรู้สึกว่าแม้มีความจำอยู่ก็เหมือนไม่มีความจำ ทำความรู้สึกว่าแท้ที่จริงมีความจำอยู่ก็เหมือนไม่มีความจำ จิตเพิกเฉยไม่ยอมรับรู้ความจำ ทำตัวเหมือนหุ่นเคลื่อนที่ที่ไร้วิญญาณ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ในร่างกาย ไม่มีความจำใดๆ ในโลก เพราะความจำทำให้จิตยึดติดกับความจำเป็นเหตุของทุกข์ ต้องมีร่างกาย เวียนว่าย ตาย เกิด ไม่ยอมรับรู้อารมณ์ใดๆ หนาว ร้อน หิว กระหาย เจ็บปวดของร่างกาย จิตไม่รับรู้ คือ ไม่จำร่างกายทั้งรูปนามขันธ์ 5 ว่าเป็นของเรา เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครเขา ขันธ์ 5 ร่างกายเป็นเพียงหุ่นเคลื่อนที่ ที่จิตเรามาอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น จิตไม่ดิ้นรนกระวนกระวายกับความทุกข์กาย ทุกข์ทางเวทนาทางอารมณ์ใจ มีความทุกข์ใจหนักใจในสัญญาความจำ ทุกข์ทางสังขารความคิดดีคิดชั่วทั้งหลาย ความคิดเป็นทุกข์ทางวิญญาณระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ไม่สนใจอะไรทั้งหมด เพราะไม่ใช่ของจิต มีชีวิตทำเสมือนคนตายด้าน คือ ปล่อยตามเรื่องของร่างกาย ไม่สนใจปล่อยวางร่างกายออกจากจิตทั้งรูป ทั้งนาม จนจิตแน่นิ่งอยู่ในการวางเฉย แบบนี้ท่านเรียกว่าอรูปฌาน 4 หรือสมาบัติ 8
กรรมฐานที่ 39 อาหาเรปฏิกูลสัญญา

คือ การพิจารณาอาหารทุกชนิดก่อนที่จะตักอาหารเข้าปาก ให้จิตพิจารณาดูรู้ว่าอาหารนั้นมาจากซากพืช ซากสัตว์ ศพที่ตายแล้ว พืชก็มาจากดินจากปุ๋ยหมักเหม็นเน่า แล้วมาปรุงตกแต่ง ถ้าทิ้งไว้ไม่รับประทาน 1 – 2 วันก็เหม็นบูดเป็นของสกปรกที่พอดูได้ก็เพราะเอามาต้ม แกง ผัดตกแต่งสีสันยังดูใหม่ ยังไม่เหม็นบูด เราจะกินอาหารเพียงเพื่อระงับความหิวเป็นทุกข์เท่านั้น เราจะไม่ติดใจใยดีกับสีสัน รสดี หรือไม่ดี เราจะไม่สนใจยึดติดกับอาหารนั้นๆ เพราะถ้าจิตไปติดใจในรสอาหาร เป็นสาเหตุให้จิตหลงรสอร่อย คือ ตัณหา ความอยาก ความพอใจ เป็นกิเลสทำให้จิตต้องมาอยู่ในกรงขังของร่างกายเป็นทุกข์หิวแบบนี้ เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด

กรรมฐานนี้สำคัญ คือ พระภิกษุที่ไม่ได้พิจารณาอาหารก่อนฉันอาหารทุกมื้อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า เป็นผู้ประมาทติดใจในรสอาหารไม่ปฏิบัติสมควรแก่ฆราวาสน้อมนำอาหารมาถวาย จิตพระสงฆ์ที่ไม่พิจารณาอาหารเป็นของสกปรกยังเป็นจิตของปุถุชนคนหนาแน่นด้วยกิเลสไม่ประพฤติธรรมสมกับเป็นเพศบรรพชิตไม่ใช่พระแท้ ท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ใจยังไม่เป็นพระแท้ พระที่ปฏิบัติพระกรรมฐานควรพิจารณาอาหารเป็นของสกปรกบำรุงร่างกาย ซึ่งเป็นของสกปรกเช่นกัน ทำอย่างนี้ทุกวัน ทุกมื้อ จิตท่านจะรอดปลอดภัยจากอบายภูมิ ด้วยการทำจิตไม่ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของอาหารเป็นการตัดละวางกามคุณ 5 ไปในตัว เป็นกรรมฐานที่ง่ายได้กำไร คือ จิตมีปัญญาเฉลียวฉลาดจะเข้าถึงอริยมรรค ถึงอริยผลได้ง่าย เป็นกรรมฐานของผู้มีปัญญา คือพุทธจริต ทำให้เข้าถึงกระแสพระนิพพานเร็วไว เพราะไม่ติดใจในรสสัมผัสของอาหาร จิตเป็นวิปัสสนาญาณไม่ตกเป็นทาสกิเลส

เรื่องอาหารนี้ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาท่านทรงห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ทุกชนิดกินเป็นอาหาร เพราะสัตว์ก็มีจิตใจของคนเช่นกัน ท่านไม่ได้ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ ปลา หมู เป็ด ไก่ กุ้ง ปู เพราะการรับประทานอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเจ ไม่ได้ทำให้คนหมดสิ้นกิเลส พระเทวทัต ได้ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งกฎไม่ไห้พระภิกษุฉันอาหารประเภทเนื้อสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เห็นดีด้วย เพราะไม่เป็นประโยชน์ ไม่สำคัญ พระภิกษุต้องอยู่ง่าย กินง่าย ชาวบ้านกินอะไร ถวายอะไร พระภิกษุก็ฉันได้ไม่ผิดอะไร องค์พระบรมศาสดาทรงห้ามพระภิกษุไม่ให้ฉันอาหารที่คนบอกชื่อประเภทเนื้อสัตว์ก่อนถวายท่านห้ามไม่ให้รับ เพราะการบอกชื่ออาหารเป็นโทษแก่พระภิกษุก่อให้เกิดกิเลสตัณหา อยากรับประทานตามชื่อนั้น อาหารที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงห้ามพระภิกษุฉันมีเนื้อมนุษย์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเต่า เนื้อช้าง เนื้อสุนัข เสือเหลือง เสือดาว หมี งู ท่านเว้นเด็ดขาด เพราะมีรสดีเกินไปก่อให้เกิดกิเลสตัณหา ผู้ไม่มัวเมาติดใจในรสอาหาร คือ ผู้ที่ไม่ติดใจในร่างกายจะรสอร่อย หรือไม่อร่อยจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือพืชผักก็เป็นของสกปรกทั้งสิ้น อาหารสกปรกบำรุงเลี้ยงร่างกายที่สกปรกเหมือนซากศพเดินได้ พูดได้ แท้จริงจะเป็นเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว หรือพืช ผลไม้ก็คือธาตุดินเหมือนกันก็บริโภคได้ เพื่อปฏิบัติธรรม หรือ เพื่อใช้ร่างกายทำความดีต่อไป เพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้



กรรมฐานที่ 40 จตุธาตุววัฏฐาน 4
เป็นกรรมฐานพินิจพิจารณาของผู้มีนิสัยฉลาด คือมีอารมณ์อยากรู้ อยากเห็นอยากพิสูจน์ สำหรับพุทธจริต คือ มีความฉลาดเฉียว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้ใคร่ครวญรู้เท่าทันความเป็นจริงของขันธ์ 5 ร่างกาย ว่าร่างกายเป็นโครงร่างสร้างขึ้นจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ถ้าบรรยายตามนักเคมีก็ คือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน โปตัสเซียม ธาตุไอโอดีน ซิลิคอน แมงกานิส ซีลีเนียม คลอไรด์ สังกะสี ซิงค์ไอรอน คือธาตุเหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิดอยู่ในร่างกาย รวมเอาง่ายๆ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ในโลกนี้ประกอบกันแล้วแตกแยกสลายอยู่ตลอดเวลา เรือนร่างที่จิตเราอาศัยอยู่นี้เป็น เสมือนบ้านเช่าที่จิตเรามาอาศัยชั่วคราว บ้านนี้กายนี้แตกสลาย ตายไป จิตใจก็ออกไปหาที่อยู่ใหม่ ตามบุญ ตามกรรม ถ้าไม่รู้ทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ ทางพระนิพพานก็เวียนเกิดเวียนตายไม่มีวันจบสิ้น มีที่จบอยู่ที่เดียว คือ พระนิพพาน ร่างกายธาตุ 4 นี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิต แต่ร่างกายธาตุ 4 อยู่ใต้กฎของธรรมชาติ คือ อนิจจัง แปรปรวน ทุกขัง แตกแยกเจ็บปวด อนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจของใครทั้งสิ้น เป็นกฎธรรมดาของโลกนี้ ทุกอย่างต้องเสื่อมสลายกลายเป็นความว่างเปล่า จิตคิดแบบนี้จนชินเป็นฌาน เป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนาญาณ จิตของท่านก็หมดความหลงใหลใฝ่ฝันกับรูปโฉมโนมพรรณของคนสัตว์ ลาภยศสรรเสริญ ไม่ปรารถนาการเกิดเป็นคน ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพพรหมเทวดา เพราะจิตยังไม่ถึงที่สุดของความสุขยอดเยี่ยม ท่านมีความต้องการพระนิพพาน ติดตามองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เดียว ปัญญาบารมีจะเข้ามาในจิตท่านเต็มที่เห็นโลกเต็มไปด้วยความแปรปรวนเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ สลายกลายเป็นความว่างเปล่า ท่านเอาชนะตัณหา คือ ความอยากเกิดเป็นคน เทวดา พรหม ท่านมีจุดมุ่งหมายในชีวิต คือ พระนิพพาน ชื่อว่า ท่านจบกิจในพรหมจรรย์มีวิชชาปัญญาดี เพราะไม่ยึดไม่ถือไม่โลภหลงรักในธาตุทั้ง 4 อีกต่อไป




วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ผู้มีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้


          ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี ในแคว้นกาสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญวัยแล้วได้รับตำแหน่งได้ชื่อว่า จุลลกเศรษฐี  จุลลกเศรษฐีนั้นเป็นบัณฑิต ฉลาดเฉียบแหลม รู้นิมิตทั้งปวง
          อยู่มาวันหนึ่ง  จุลลกเศรษฐีได้เดินทางไปสู่ที่บำรุงพระราชา ได้สังเกตุเห็นหนูตายตัวหนึ่งที่ถนน  ก็รู้สึกถึงนิมิต จึงตรวจดูฤกษ์ในขณะนั้น  แล้วเห็นว่ามีเศรษฐีคนใหม่เกิดขึ้นในเมืองนี้  จึงกล่าวลอยๆ ขึ้นว่า "ผู้ใดอยากเป็นเศรษฐี ให้เอาหนูตัวนี้ไปทำประโยชน์ ผู้นั้นอาจเลี้ยงลูกเมียได้" ขณะนั้นชายยากจนคนหนึ่งเดินผ่านมาได้ยินเข้า  จึงคิดว่าจุลลกเศรษฐีพูดทำนายออกมาเช่นนี้ต้องมีเหตุแน่  จึงเก็บหนูตายตัวนั้นไปขายที่ตลาด  โดยคิดและหวังว่าตนคงเป็นเศรษฐีคนใหม่ตามคำทำนายของจุลลกเศรษฐี  ต่อมามีชาวบ้านคนหนึ่งมาซื้อหนู  บอกว่าจะเอาไปให้แมวกิน ขายได้ ๑ กหาปณะ (กหาปณะ เป็นค่าเงินขั้นต่ำที่ใช้ในประเทศอินเดียในขณะนั้น)
         ชายยากจนได้เงินมาแล้ว  ก็คิดหาทางที่จะทำให้เงินงอกเงยขึ้นมาอีก  เขารู้ว่าชาวสวนดอกไม้หลังจากเก็บดอกไม้เสร็จต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานอย่างแน่นอน  เขาจึงใช้เงิน ๑ กหาปณะนั้นไปซื้ออ้อยงบตัดเป็นท่อนเอามาต้มเป็นน้ำอ้อยเอาไปบริการ  พูดเชิญชวนกับคนที่เก็บดอกไม้อย่างสุภาพ อ่อนน้อม  ชาวสวนดอกไม้ก็มาดืิ่มกิน  ปรากฏว่าแก้กระหายได้เป็นอย่างดี  พวกเก็บดอกไม้จึงตอบแทนโดยได้ให้ดอกไม้แก่เขาคนละเล็กคนละน้อย  ชายยากจนเอาดอกไม้เหล่านั้นไปขายได้เงินมา  แล้วก็ไปซื้ออ้อยงบเป็นจำนวนมาก  แล้วนำมาต้มเป็นน้ำอ้อยเอาไปบริการคนเก็บดอกไม้อีกเหมือนเดิม  พวกชาวสวนดอกไม้ต่างก็ดีใจ พากันมาดื่มกินน้ำอ้อยจากชายยากจนและให้ดอกไม้คนละเล็กคนละน้อยเป็นการตอบแทน  เขาก็เอาดอกไม้เหล่านั้นไปขายได้เรื่อยๆ กระทั่งรวบรวมเงินเก็บได้มากขึ้น ๆ เป็น ๘ กหาปณะ
         อยู่มาวันหนึ่ง เกิดมีพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง ลมพัดกิ่งไม้ในสวนหลังหักลงเป็นอันมาก  ชายยากจนได้เดินไปหาคนเฝ้าสวน แล้วพูดว่า "นายครับ กิ่งไม้พวกนี้ ข้าจะขอท่านไปทำประโยชน์ได้หรือไม่" ชายเฝ้าสวนได้ตอบว่า "ข้าให้หมดทั้งสวนโดยไม่คิดอะไรเลย กลัวจะเอาไปไม่หมด" เพราะสุดท้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้วที่ต้องเก็บ  ชายยากจนเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมาก ได้ไปหาพวกเด็กเลี้ยงโคให้ช่วยขนกิ่งไม้ออกไปวางกองไว้นอกสวน (คนผ่านไปผ่านมาอาจจะมาซื้อก็ได้) โดยให้น้ำอ้อยเป็นค่าตอบแทนเมื่อเด็กๆ ขนเสร็จ  แล้วสักพักมีช่างปั้นหม้อดินผ่านมาพอดีจึงขอซื้อฟืนเหล่านั้นทั้งหมด  ชายยากจนขายให้เป็นเงิน ๑๖ กหาปณะ (ตอนนี้เขามีเงินเก็บแล้ว ๒๔ กหาปณะ)
          เมื่อได้เงินมาแล้ว  เขาจึงคิดวิธีหาเงินอีกต่อไป  เขาคิดจะใช้วิธีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่พ่อค้าคนหาบหญ้ามาขายเพราะเขารู้ว่าคนทำงานต้องเหนื่อยกันทุกคน  เขาจึงไปทำความรู้จักกับพวกพ่อค้าขายหญ้า  โดยการเอาน้ำใส่โอ่งไปบริการฟรีที่ใกล้ประตูเมือง  พอพวกหาหญ้าขาย หาบหญ้ามามาถึงตอนเย็น  ชายยากจนก็ร้องเรียกด้วยเสียงไพเราะและจริงใจให้มาดื่มน้ำแก้เหนื่อยฟรี  เมื่อพ่อค้าคนหาบหญ้ามาขายได้ยินต่างก็มาดื่มน้ำฟรีกันทุกคน  แล้วบอกกับชายยากจนว่า "เจ้าช่างเป็นผู้มีน้ำใจดีแท้  ภายภาคหน้าถ้าท่านมีอะไรให้พวกเราช่วย  ท่านก็บอกพวกเราได้เลยน่ะ" ชายยากจนจึงตอบว่า "ขอขอบคุณครับ ถ้าเรามีเรื่องให้ท่านช่วยแล้วเดี๋ยวข้าจะบอกพวกท่าน  แต่คงมีไม่มากหรอก พวกท่านไม่ต้องคิดมากน่ะ"
          ประกอบกับที่ผ่านมา ชายยากจนก็พยายามเที่ยวคบเพื่อนพ่อค้าทั้งทางบกและทางน้ำไว้ด้วย  ความที่เขาเป็นคนมีไมตรี พูดจาสุภาพไพเราะถูกกาละเทศะอย่างนี้เอง  ไม่ว่าเขาจะเดินไปไหนทุกคนต่างก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ  ได้มีการทักทาย ถามสารทุกข์สุขดิบกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส (จากชายที่ยากจนเงินทองก็กลายเป็นคนที่ร่ำรวยมิตรสหาย)
           ต่อมาเพื่อนพ่อค้าทางบกก็บอกข่าวล่วงหน้าว่า "พรุ่งนี้ พ่อค้าม้าจักนำม้า ๕๐๐ ตัว มาถึง" เขาก็ไปบอกพวกเพื่อนพ่อค้าคนหาบหญ้ามาขายว่า "วันนี้จงให้หญ้าแก่เราคนละฟ่อน ๆ แล้วพรุ่งนี้ขอให้ท่าน อย่าเพิ่งแบ่งขายหญ้าก่อนที่เราจะขายหมด  ไม่อย่างนั้นเราจะขายไม่ได้เพราะว่าเพิ่งขายครั้งแรก"  พวกเพื่อนพ่อค้าขายหญ้าก็นำหญ้าไปทิ้งไว้ในบ้านของเขาคนละฟ่อน (รวมเป็น ๕๐๐ ฟ่อน) รวมทั้งรับปากว่าจะช่วยเพื่อน (ไม่ขายหญ้าก่อนที่เขาจะขายหมด)
           เช้าขึ้นมา  พวกพ่อค้าม้าก็มาถึงเมืองพาราณสี  งานที่ต้องทำก่อนอื่นคือต้องเดินตามหาแหล่งที่ขายหญ้าเพื่อจะเอามาเลี้ยงม้า ๕๐๐ ตัวกิน  แต่ไม่มีใครขายซักเจ้าเลย  จนกระทั่งไปเจอชายยากจนนั่งขายหญ้าอยู่จึงขอซื้อหญ้าทั้งหมดจากเขา เขาก็ขายได้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ (ตอนนี้ชายยากจนมีเงินเก็บประมาณ ๑,๐๒๔ กหาปณะแล้ว)
           หลังจากนั้นต่อมาไม่กี่วัน ก็ได้รับข่าวจากเพื่อนพ่อค้าทางน้ำว่า "พรุ่งนี้จะมีสำเภา ๕๐๐ ลำมาถึง" เขานำเงิน ๘ กหาปณะไปเช่ารถเศรษฐี  พร้อมกันบริวารลงไปที่ท่าเรือสำเภา  ได้วางเงินมัดจำสินค้าเรือสำเภาไว้สิ้นในราคาถูก (ตอนนี้เป็นพ่อค้าใหญ่ที่สุดในกรุงพาราณสีแล้ว เพราะทุกคนต้องมาซื้อของกับเขา) แล้วจัดสำนักงานง่ายๆ เพื่อสะดวกในการติดต่อ
           วันรุ่งขึ้นเรือสำเภาเทียบท่า  ชายยากจนก็แต่งตัว และวางตัวให้เหมาะสมกับเป็นพ่อค้าใหญ่ แล้วเข้าไปนั่งอยู่ภายในม่านมีบริวารห้อมล้อม (ห้องเจรจาต่อรองการซื้อขาย) ก็มีพวกพ่อค้ามาขอเข้าหุ้นด้วย (เพราะสินค้าทั้งหมดไม่มีใครเอาไปขายในเมือง  ไปติดต่อกับเรือสำเภาเขาก็บอกว่าถูกพ่อค้าใหญ่เหมาหมดแล้ว)  พ่อค้ารายย่อยต่างเชื่อถือ เพราะการวางตัว การแต่งตัว การพูดเจรจาต่อรองถูกตามกาลเทศะ พ่อค้ารายย่อยยอมให้เงินคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะถึง ๗๐ คน (เท่ากับ ๗๐,๐๐๐ กหาปณะ) ไม่พอเท่านั้นเหล่าพ่อค้าทั้งหลายยังขอร้องให้เขาปล่อยหุ้นทั้งหมดพร้อมทั้งยินดีช่วยเพิ่มให้อีกคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ(เท่ากับ ๗๐,๐๐๐ กหาปณะ) รวมเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ กหาปณะ เขาก็ยอมรับ
           จากชายยากจน เริ่มจากการขายหมูตายในราคา ๑ กหาปณะ  ผ่านไปเป็นเวลาประมาณ ๔ เดือนเท่านั้น มีเงินร่วมประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ กหาปณะ
           เมื่อเขาร่ำรวยแล้ว เขาคิดว่า เขาควรจะไปตอบแทนบุญคุณท่านเศรษฐีผู้มีบุญคุณจุดประกายให้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้  จึงเดินทางไปกราบขอบคุณและนำเงินไปมอบให้ครึ่งหนึ่ง (๗๐,๐๐๐ กหาปณะ) ท่านจูลลกเศรษฐีถามว่าได้มาอย่างไร  เขาก็เล่าเรื่องราวชีวิตทั้งหมดของตอนให้ฟัง  เศรษฐีเห็นว่าคนผู้นี้เป็นคนดีมีปัญญา มีความเพียร มีคุณธรรม จึงยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย  ภายหลังจากจุลลกเศรษฐีตายแล้ว  ตำแหน่งเศรษฐีและทรัพย์สมบัติทั้งหมด ก็ยกให้แก่ลูกเขย เขาจึงกลายเป็นพ่อใหญ่แห่งเมืองพาราณสี
           มาชาติสุดท้ายชายยากจนผู้มีปัญญาตั้งตัวได้ด้วยเริ่มจากการขายหนูตายตัวเดียว  ได้เกิดมาเป็นพระจุลปันถกองค์อรหันต์  ส่วนเศรษฐีพ่อค้าผู้ล่วงรู้ฤกษ์ยามได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
             ...จบเรื่องนี้ใน   จุลลกเศรษฐีชาดก เอกนิบาตเท่านี้...

ธรรมนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  คนที่สามารถหาเงินได้โดยวิธีอย่างนี้ได้ต้องมี
๑.วิสัยทัศน์กว้างไกล
๒.มีคุณธรรม
๓.ทำการค้าไม่ผิดศีลธรรม
๔.มีน้ำใจไมตรี

"ผู้มีปัญญาเฉียบแหลมย่อมตั้งตัวได้ด้วยทรัพย์เพียงเล็กน้อย"

"ผู้มีความกตัญญูกตเวที ย่อมเจริญ"

"หมั่นเพียรเรียนมาก รู้มาก ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที เป็นทางสู่ความเจริญ"




บทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร


แผ่นดินไหวด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
๑.ลมกำเริบ
๒.ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล
๓.พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิตลงสู่พระครรภ์
๔.พระโพธิสัตว์ประสูติ
๕.พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๖.พระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
๗.พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
๘.พระตถาคตเจ้าปรินิพาน

                     บทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร

     เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง  วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ฯ  ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
     เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ  นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง  อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
     เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา  ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
     กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ  
     อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต  สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
     อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยัะสัจจัง ฯ ชาติปิ  ทุกขะ ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข  ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ
     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว  ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ  กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ
     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง ฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ  อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ

    
อิ ทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ  สัจจัง ฯ
     อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมา  อาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสมาธิ ฯ
     อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ  อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง  อุทะปาทิ ญานัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
     อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ    
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ฯ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ 
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    
ตัง โข ปะนิทัง  ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ  ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ  เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ  อาโลโก อุทะปาทิฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิวิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
     ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ  เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
     เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว  สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
     ยะโต จะ โข เม  ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง  ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
     อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก  สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ  ปัจจัญญาสิง ฯ
     ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ
     อิทะมะโว จะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ  อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง  อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ
     ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา  สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง  อัปปะฏิวัตติยัง  สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ (หยุด)
     ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา จาตุมมะหาราชิกา  เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    
จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ตุสิตา  เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ  
    
นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
    
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง
    
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย
    
อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา
    
พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ
    
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ  พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ
    
อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ  
    
อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ
    
อะถะโข ภะคะวา  อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ ฯ อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตววะ นามัง อะโหสีติ ฯ



              คำแปลบทสวนธัมมจักกัปปวัตนสูตร


    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

    
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสีณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด๒ อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ (ส่วนสุด ๒ อย่างนั้นเป็นไฉน?)

    
คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

    
การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

    
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านี้ อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

    
ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนั้น ... เป็นไฉนคือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ ซึ่งได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ

    
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนี้แล อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

    
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ (ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์)  ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้ข้อนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

    
ก็ทุกขสมุทยอริยสัจนี้แล คือ ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

    
ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัย

    
ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนั้นควรกำหนดรู้ ฯลฯทุกขอริยสัจนั้นเรากำหนดรู้แล้ว

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทยอริยสัจนั้นควรละ ฯลฯทุกขสมุทัยอริยสัจนั้นเราละแล้ว

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นควรกระทำให้แจ้ง ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นเรากระทำให้แจ้งแล้ว

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นควรเจริญ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นเราเจริญแล้ว

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริงมีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น

    
ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ(ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

    
ก็ญาณทัสสนะได้บังเกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุดบัดนี้ ภพใหม่ไม่มี

    
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค

            
ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา
    
ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรแล้ว พวกภุมมเทวดาได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกประกาศไม่ได้
    
      พวกเทพชั้นจาตุมหาราชได้ฟังเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ... พวกเทพชั้นดาวดึงส์ได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นจาตุมหาราชแล้ว ... พวกเทพชั้นยามาได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว ... พวกเทพชั้นดุสิตได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นยามาแล้ว ... พวกเทพชั้นนิมมานรดีได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นดุสิตแล้ว ... พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นนิมมานรดีแล้ว ... พวกเทพที่นับเนื่องในหมู่พรหมได้ฟังเสียงของพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว ได้ประกาศว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มารพรหม หรือใครๆ ในโลก ประกาศไม่ได้

            
โดยขณะนั้น โดยครู่นั้น เสียงได้ระบือขึ้นไปจนถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนี้ ก็หมื่นโลกธาตุนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ทั้งแสงสว่างอันยิ่ง หาประมาณมิได้ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของพวกเทพดาทั้งหลาย


            
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้นคำว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้เป็นชื่อของท่านโกณฑัญญะด้วยประการฉะนี้แล